Tuesday, February 25, 2020

เกริ่นนำ



เกริ่นนำ



        สวัสดีครับ ผม พันตำรวจเอก วิษณุ  ตุวยานนท์ ในปีนี้ ( ปี พ.ศ.2563 ) ผมมีอายุ 50 ปีแล้วนะครับ ( ผมเกิดปี พ.ศ.2513 ) ผมมีความสนใจในกีฬา "เพาะกาย" เป็นพิเศษ ก็เลยจะลองถ่ายทอดเรื่องของการ "เพาะกาย" หรือ "เล่นกล้าม" ใน Blog นี้ดูนะครับ

ทำไมคุณจึงควรเชื่อเรื่อง "เพาะกาย" ที่ผมแนะนำ ทั้งๆที่ผมเป็นตำรวจ?

       ผมมีอาชีพหลักเป็นตำรวจก็จริง แต่ผมศึกษาด้านเพาะกาย "เพียงด้านเดียว" มาตั้งแต่อายุ 14 ปีแล้ว นั่นก็หมายถึงว่า จนถึงวันนี้ ผมศึกษาด้านเพาะกายมาเป็นเวลา 36 ปีแล้ว โดยที่ความใคร่รู้ ใคร่ศึกษาด้านเพาะกายของผม "ไม่ตก" เลย

       คือ ผมไม่ได้เก่งทุกด้าน แต่ผมเก่งด้านเดียวคือ เรื่อง "เพาะกาย" ( ส่วนเรื่องข้อกฏหมายในอาชีพตำรวจ ก็มีความเก่งแบบทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นเรื่อง "เพาะกาย" ผมศึกษาอย่างจริงจังมา 36 ปีแล้ว ) ดังนั้น ถ้าผมแนะนำเรื่องอื่น คุณอาจจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ถ้าให้ผมแนะนำเรื่องเพาะกาย คุณควรจะเชื่อผม


อายุ 50 ปีแล้ว ได้ประโยชน์อะไร?

       เมื่ออายุมากขึ้นจน 50 ปีแล้ว ทำให้คำพูดของผมน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะผมมองโลกมาได้นานกว่า มีประสบการณ์มากกว่า

       สมมติว่าผมอายุ 25 ปี และผมรักกีฬาบาสเกตบอล หรือฟุตบอลเป็นพิเศษ แล้วผมก็ "อวย" คือ ชื่นชมกีฬาบาสเกตบอล หรือฟุตบอล เอามากๆ ปากก็พร่ำบอกคนอื่นว่า กีฬาบาสเกตบอล หรือฟุตบอล ดีมาก

       แต่พออายุ 50 ปี ผม "ข้อเช่าเสีย" ( สมมติ ) เพราะไอ้เจ้ากีฬาบาสเกตบอล หรือฟุตบอล ที่เคยเล่นสมัยอายุ 25 ปี

       ไอ้เจ้าความคิดที่ชื่นชมกีฬาบาสเกตบอล หรือฟุตบอล ของผมก็จะเปลี่ยนไป เพราะกว่าที่จะรู้ว่ากีฬานี้ ทำให้ข้อเข่าเสีย ผมก็มีอายุ 50 ปีเข้าไปแล้ว "แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว"  คือถ้าย้อนกลับไปได้ ผมก็จะไม่ "อวย" กีฬา กีฬาบาสเกตบอล หรือฟุตบอล มากขนาดนี้ เพราะมันเป็นเหตุให้ผม "ข้อเข่าเสื่อม" ในตอนมีอายุ 50 ปี

       แต่กับกีฬา "เพาะกาย" มันจะแตกต่างออกไป

       แตกต่างอย่างไร? คำตอบก็คือ ในตอนนี้ ผมอายุ 50 ปีแล้ว แต่ "ผมไม่เคยเห็นข้อเสียของกีฬาเพาะกายเลย" ทั้งๆที่ศึกษาด้านนี้มาด้านเดียวตลอด 36 ปี

       ถ้าเป็นกีฬากีฬาบาสเกตบอล หรือฟุตบอล ผมอาจจะตาบอดตอนอายุ 25 ปี ( หมายถึงว่า ชื่นชอบจนหน้ามืดตามัว เปรียบได้กับคนตาบอด ) แต่พออายุ 50 ปี ผมก็ตาสว่างแล้ว ว่ามันส่งผลเสียต่อสุขภาพ ในตอนแก่

       แต่กับกีฬาเพาะกาย  จนถึงบัดนี้ ที่ผมอายุ 50 ปีแล้ว ผมก็ยังเห็นแต่ข้อดี  ไม่มีข้อเสียเลย

       ดังนั้น ในวัย 50 ปี ถ้าผมพูดกับคุณว่า "กีฬาเพาะกาย" ดี คุณก็ควรเชื่อผม  เพราะถ้าผมอายุ 25 ปี แล้วบอกคุณว่า "กีฬาเพาะกาย" ดี คุณอาจจะต้องสองจิตสองใจ เพราะผมยังหนุ่มอยู่ อาจจะพูดแบบไม่รู้จริงก็ได้ อาจจะยังตาบอดอยู่ก็ได้

       แต่เพราะผมอายุ 50 ปีแล้ว และศึกษาการเพาะกายมาโดยตลอด 26 ปี  ในเมื่อผมพูดว่า "กีฬาเพาะกาย" ดี คุณก็ควรจะเชื่อผมนะครับ
ฟิตเนส ( Fitness ) กับเพาะกาย ( Bodybuilding ) มันคนละเรื่องกันเลย!

       คนที่ได้ปริญญาตรีวิทยาศาสร์การกีฬามา ก็คือคนที่ศึกษามาในด้านกีฬาฟิตเนส  ซึ่งเมื่อเขาเหล่านี้ ได้มาทำงานที่โรงยิม เขาก็จะทำหน้าที่เป็นครูฝึกส่วนตัว ( Personal trainner ) ให้กับคนทั่วๆไปที่มาใช้บริการที่โรงยิมนั้น

       คราวนี้ พอมีบางคน ที่อย่ากจะเพาะกาย แล้วเดินเข้าไปหาครูฝึกส่วนตัวที่โรงยิม  แล้วบอกว่าจะ "เพาะกาย"  /  ครูฝึกส่วนตัว ก็จะบอกว่าเขาสามารถสอนได้ เพราะเป็น Weight trainning ( การออกกำลังกายด้วยการยกลูกน้ำหนัก ) เหมือนกัน

       แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาสอน มันคือสายฟิตเนส ไม่ใช่เพาะกาย ( ถึงแม้ว่าจะใช้คำว่า Weight trainning เหมือนกันก็เถอะ )

       ฟิตเนส ( Fitness ) กับเพาะกาย ( Bodybuilding ) มันคนละเรื่องกันเลย! เอาแค่รากศัพท์ มันก็เป็นคนละตัวกันแล้ว เพราะ Fitness ก็คือ Fitness ส่วน Bodybuilding ก็คือ Bodybuilding

       ถ้าคุณจะเอาสายฟิตเนส คุณสามารถเรียนได้จากครูฝึกส่วนตัวในโรงยิมนั้นได้เลย เพราะเขาจบวิทยาศาสตร์การกีฬามา ซึ่ง "ตรงสาย"

       แต่ถ้าคุณต้องการจะ "เพาะกาย" คุณไม่สามารถเรียนจากครูฝึกส่วนตัวเหล่านั้นได้ เพราะเขาไม่ได้เรียนจบมาทางด้านนี้  /  ถ้ายังรั้นที่จะไปฝึกกับเขา ( ครูฝึกส่วนตัวเหล่านั้น ) คุณก็จะเจอการฝึกที่ไม่ใช่เพาะกาย แต่มันคือฟิตเนส ( แต่คุณไม่รู้ เพราะคุณแยกไม่ออก )


สภาษิตชาวบาบิโลนโบราณ กล่าวไว้ว่า "ถ้าอยากรู้เรื่องเพชร ต้องถามคนที่มีความรู้เรื่องเพชร  ถ้าไปถามคนเลี้ยงแกะ ก็จะไม่ได้เรื่องอะไร"

       ถ้าคุณอยากจะเพาะกาย แต่คุณดันไปเรียนรู้จากคนที่จบมาฟิตเนสมา คุณก็จะเจอการเพาะกายแบบ "กลายพันธุ้" คือมันไม่ใช่การเพาะกายแบบต้นตำรับ

       หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ก็เช่น นักกอล์ฟบางคน เล่นกล้ามเพื่อไปเล่นกอล์ฟ เขาก็จะเล่นกล้ามเน้นไปทางด้านสะโพก แขน หัวไหล่  /  ถ้าคุณให้นักกอล์ฟคนนี้ มาสอนเพาะกายคุณ นักกอล์ฟพวกนี้อาจจะสอนเพาะกายได้ก็จริง แต่มันคือการเพาะกายที่ "กลายพันธุ์" ไปแล้ว มันไม่ใช่การเพาะกายต้นตำรับ

       ถ้าคุณจะเรียบรู้การเพาะกายต้นตำรับจริงๆ คุณควรจะเรียนรู้จากผม

       เหตุผลก็เพราะว่า ผมศึกษาเรื่องเพาะกายอย่างจริงจังมาเป็นเวลาถึง 36 ปี และไม่ศึกษากีฬาด้านอื่นเลย

       ที่ผมไม่ศึกษากีฬาอื่นเลย ก็เพราะไม่อยากให้ความรู้จากกีฬาอื่น เข้ามาเจือปนกับศาสตร์ของกีฬาเพาะกาย แล้วในที่สุดผมก็จะทำให้มัน "กลายพันธุ์" ไปเสียเอง ( ด้วยเหตุที่ผมไม่อยากทำให้การเพาะกายมัน "กลายพันธุ์" ผมจึงศึกษาแต่การเพาะกายเพียงอย่างเดียว ไม่ศึกษากีฬาอื่นเลย )


เมื่อมีทีวีสีเข้ามา  ทีวีขาวดำก็หายไป นั่นเป็นเพราะทีวีขาวดำหมดประโยชน์แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไปแล้ว

       เมื่อตอนที่ยังไม่มีทีวีสี  เราต่างก็ใช้ทีวีขาวดำกันทั้งนั้น แต่พอมีทีวีสีเข้ามา ไอ้เจ้าทีวีขาวดำก็หายไปอย่างถาวร นั่นเป็นเพราะอะไร? นั่นเป็นเพราะทีวีขาวดำไม่มีประโยชน์อีกแล้ว

       แต่กีฬาเพาะกายจะต่างออกไป เพราะถึงแม้กีฬาเพาะกายจะมีมา 150 ปีแล้ว แต่เมื่อมีกีฬาฟิตเนสเข้ามา  กีฬาเพาะกายก็ยังไม่ได้หายไปไหน

       นั่นเป็นเพราะศาสตร์ของกีฬาเพาะกายมันมีประโยชน์และไม่มีใครสามารถมาแทนที่ได้นั่นเอง

       หากกีฬาเพาะกายไม่มีประโยชน์แล้ว มีการคิดค้นใหม่ คือใช้ศาสตร์ของฟิตเนส แทนได้แล้ว  กีฬาเพาะกายก็คงต้องหายไปเหมือนทีวีขาวดำ จริงไหมครับ


ทำไมกีฬาเพาะกายถึงไม่ดัง ( ไม่เป็นที่นิยม ) เหมือนกีฬาฟิตเนส หรือกีฬาวิ่ง?

       คำตอบก็คือว่า เพราะ "ระบบนายทุน" เขาไม่สนับสนุนกีฬาเพาะกายนั่นเอง

       เพราะถ้าเป็นการเพาะกาย คุณสามารถใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวเล่นกล้ามอยู่ที่บ้านคนเดียว โดยที่กางเกงตัวนั้นจะใส่ซ้ำไปซ้ำมากี่วันก็ได้

       แต่ถ้าเป็นกีฬาฟิตเนส หรือกีฬาวิ่ง คุณจะต้องไปสัมผัสกับคนภายนอก คุณต้องเจอผู้เจอคน ถ้าคุณใส่เสื้อซ้ำกัน ใส่กางเกงซ้ำกันหลายวัน ก็จะเกิดอาการอายคนรอบข้าง ดังนั้น คุณก็ต้องซื้อรองเท้า ซื้อเสื้อผ้า กางเกงหลายชุด และการที่คุณต้องซื้อรองเท้า  ต้องซื้อเสื้อผ้าหลายชุดนี้เอง "ระบบนายทุน" ถึงชอบนักชอบหนา เพราะเขาสามารถเอาเงินออกจากกระเป๋าคุณได้ด้วยการทำรองเท้า ทำเสื้อกางเกงออกมาขาย

       ถ้ากีฬาเพาะกายมันดังขึ้นมา คนก็จะไม่ใช้เงิน ( เพราะใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวซ้ำไปซ้ำมาเล่นกล้ามที่บ้านได้ ) ด้วนเหตุนี้ "ระบบนายทุน" จึงเกลียดกีฬาเพาะกายนักหนา และไม่มีการเชียร์ หรือประชาสัมพันธ์ให้คนไปเล่นกล้าม  ดังนั้น กีฬาเพาะกายจึงไม่เป็นที่นิยม ไม่ดัง ก็ด้วยเหตุผนี้ ( เพราะขาดการประชาสัมพันธ์ )

       "ระบบนายทุน" ชอบที่จะไปประชาสัมพันธ์ให้กับกีฬาฟิตเนส กีฬาวิ่ง โดยใช้ภาพนักกีฬาสวยๆหล่อๆ หุ่นดี และงบโฆษณามหาศาล จนทำให้กีฬาฟิตเนส และกีฬาวิ่ง เป็นที่นิยมขึ้นมา และผุ้คนก็พร้อมที่จะ"ควักเงินออกจากกระเป๋า" เพื่อซื้อสินค้าของพวกนายทุน

       สรุปได้ว่า ที่กีฬาเพาะกายจึงไม่ดึง ก็เป็นเพราะขาดการประชาสัมพันธ์ ทั้งๆที่กีฬาเพาะกายมีประโยชน์มาก ฝึกก็ง่าย ไม่ซับซ้อน ที่สำคัญคือ ทำให้คุณประหยัดได้มาก ยกตัวอย่างเช่นการประหยัดเงินที่จะไปซื้อเสืือผ้า ซึ้องรองเท้า ( การเพาะกาย จะใส่หรือไม่ใส่รองเท้าก็ได้ ไม่มีใครว่า ) ส่วนเรื่องอุปกรณ์นั้น ซึ่งอุปกรณ์ครั้งเดียวก็เล่นได้เป็น 100 ปีแล้ว เช่นพวกบาร์เบลล์ ดัมเบลล์


เทควันโด้ - กังฟู - มวย กับกีฬาเพาะกาย อันไหนน่าสนใจมากกว่ากัน

       ถ้าจะถามว่ากีฬา เทควันโด้ - กังฟู - มวย กับกีฬาเพาะกายนั้น อันไหนดีกว่ากัน? ผมคงตอบไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นตัววัด

       "แต่" ถ้าถามว่า อันไหน "ได้ใช้" จริงๆ  ผมตอบได้เลยว่าต้องเป็นกีฬาเพาะกายอย่างแน่นอน

       ( อย่าลืมนะครับว่า ผมไม่ได้ตอบในประเด็นว่าอันไหนดีกว่ากัน แต่ผมตอบประเด็นว่า อันไหน "ได้ใช้ - ไม่ใด้ใช้" )

       คุณอาจจะคิดว่าเป็นเพราะผมไม่ได้ศึกษากีฬา เทควันโด้ - กังฟู - มวย อย่างจริงจัง ก็เลยไม่เข้าใจกีฬาชนิดนี้ แล้วมาสรุปเอาเองว่ากีฬา เทควันโด้ - กังฟู - มวย เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

       แต่ผมจะบอกคุณเลยนะครับว่าสำหรับทั้งเทควันโด - กังฟู - มวย ( ทั้งมวยไทยแตะสากล ) ผมเรียนอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 4 ชม. ( 2 คาบ ) เป็นเวลา "6 ปีเต็ม" นะครับ ไม่ใช่ศึกษาแค่คอร์สสั้นๆแล้วเอามาพูดหรอกนะครับ

       สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อจริงๆ เกี่ยวกั้บเรื่องนี้ก็คือว่า แต่ตั้งแต่ผมอายุ 24 ปี จนถึงอายุ 50 ปี มานี้ ผม "ไม่ได้ใช้" ทักษะ เทควันโด - กังฟู - มวย ( ทั้งมวยไทยแตะสากล ) ที่ร่ำเรียนมาเลย

       แต่กับกีฬาเพาะกาย มันจะต่างออกไป เพราะผม "ได้ใช้ทุกวัน"

ภาพบน ) รูปสมัยแข่งครั้งแรกๆ (คนกลาง) ตอนนั้นผมหนัก 65 กก.

ภาพบน ) เขินดีครับ เวลาที่อยู่บนเวที 

ภาพบน ) ภาพข้างบนนี้ ผมถ่ายเมื่อปี พ.ศ.2537 นะครับ เป็นการประกวดเพาะกายที่จัดแบบกันเองที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ



       ตั้งแต่ผมจบนักเรียนนายร้อยมา ผม "ได้ใช้" กีฬาเพาะกายมาโดยตลอด ได้ใช้ทุกวัน ตราบจนถึงทุกวันนี้

       ถามว่า "ได้ใช้" อย่างไร? ตำตอบก็คือ เพราะผมยังเพาะกายอยู่ และการเพาะกายนั้น ทำให้ผมมีบุคลิกดี เหมาะกับการเป็นผู้บังคับบัญชา ของลูกน้อง

       ต่างไปสำหรับทักษะกีฬา เทควันโด - กังฟู - มวย ( ทั้งมวยไทยแตะสากล ) ที่ผม "ไม่ได้ใช้เลย" หลังจากที่ผมจบการศึกษามาและเข้าทำงาน ( 26 ปีที่ผ่านมาแล้ว )


       ถ้าเป็นสมัย 100 ปีที่แล้ว การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า มันเป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่า ระบบควบคุมอาชญากรรม มันยังไม่ค่อยดี โจรผุ้ร้ายออกอาละวาด คุณต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เพื่อป้องกันตัวเอง

       แต่ในยุคนี้  ระบบควบคุมอาชญากรรม มันดีขึ้นมากแล้ว ดังนั้น ความจำเป็นในการฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า มันก็อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ( เหมือนที่ผมไม่ได้ใช้ทักษะ เทควันโด - กังฟู - มวย ( ทั้งมวยไทยแตะสากล ) ผม "ไม่ได้ใช้เลย" ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา )


       อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ และผมสามารถพูดได้ เพราะผมป็นตำรวจ

       นั่นก็คือว่าตนที่เรียน เทควันโด - กังฟู - มวย จะ "ร้อนวิชา" อยากแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเรียน  เทควันโด - กังฟู - มวย มา

       สมมติว่ามีเหตุการณ์ขับรถปาดหน้ากันเกิดขึ้น  ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็อาจจะต่างคนต่างจอดรถ แล้วยืนด่ากัน แต่ไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือ

       แต่ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เรียน  เทควันโด - กังฟู - มวย มา เขาก็จะ "ร้อนวิชา" และอยากแสดงให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าตัวเองมีทักษะ  เทควันโด - กังฟู - มวย ก็เลยมีการลงไม้ลงมือกัน

       เมื่อมีการลงไม้ลงมือกัน ( เพราะ "ร้อนวิชา" ) ก็จะมีสิ่งที่ตามมา

       สิ่งที่ตามมานั่นก็คือ การลงไม้ลงมือของคุณนั้น อาจจะถุกถ่ายด้วยกล้องวงจรปิด ถูกถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ เอาไปโพสประจานขึ้นโลกโซเชียล จะทำให้คุณ "ถูกไล่ออกจากงาน" ได้

       และไม่ใช่เพียง  "ถูกไล่ออกจากงาน" เท่านั้น ผมพูดได้เลยว่า ทันทีที่คุณลงมือทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าจะเบาหรือหนัก คุณก็จะถูกดำเนินคดีทางกฏหมาย โดยที่ไม่เกี่ยวว่่าคุณจะเป็นฝ่ายลงมือก่อน หรือหลัง ถึงจะลงมือทีหลัง โดยอ้างว่าป้องกันตัว คุณก็ยังผิดข้อหาสมัครใจทะเลาะวิวาท อยู่ดี ( ที่ผมพูดได้ เพราะผมทำงานด้านนี้มาตลอด ตลอดเวลา 26 ปีที่อยู่บนโรงพักของผม )

       คือ ถ้าคุณไม่"ร้อนวิชา" ( เพราะคุณไม่ได้เรียน  เทควันโด - กังฟู - มวย มา ) แล้วคุณโดนทำร้าย โดยคุณไม่ตอบโต้ล่ะก็ ฝ่ายที่ทำร้ายคุณก็จะผิดข้อหา ทำร้ายร่างกาย ทันที โดยที่คุณไม่มีความผิดอาญาใดๆเลย ( อย่าลืมว่า มีกล้องวงจนปิดอยู่ทุกมุมถนน และมีภาพจากกล่องมือถือ เป็นพยานให้คุณอยู่แล้ว )

       แต่ถ้าคุณ "ร้อนวิชา" ( เพราะคุณเรียน  เทควันโด - กังฟู - มวย มา ) คุณก็จะผิดข้อหาทำร้ายร่างกาย หรือสมัครใจทะเลาะวิวาท ทันที ซึ่ง 2 ข้อหานี้ เป็น "ความผิดอาญา"

       เมื่อคุณมี "ความผิดอาญา" ( และมีพยานหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด และภาพจากโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายไว้โดยคนทั่วไป ) คุณก็จะมีประวัติอาชญากรทันที  ซึ่งถึงแม้จะเสียค่าปรับไปแล้วคดีจบแล้ว แต่ "ประวัติอาชญากรก็ยังติดตัวอยู่"

       สมมติว่าคุณโดนไล่ออกจากงานเดิม แล้วคุณไปสมัครงานใหม่  ที่ทำงานใหม่เขาก็ต้องให้ตำรวจตรวจสอบ "ประวัติอาชญากร" ของคุณ

       ถ้าเขาตรวจเจอ "ประวิติอาชญากร" ของคุณ มันก็จะมีผลกับการสมัครงานใหม่ของคุณโดยทันที เชาอาจจะไม่รับสมัครคุณก็ได้

       เห็นไหมว่า การ "ร้อนวิชา" เพราะการเรียน เทควันโด - กังฟู - มวย มา มันส่งผลกับคุณขนาดไหน


       ในเหตุการณ์เดียวกันนั้น ( ขับรถปาดหน้ากัน ) และคุณเพาะกายมา โดยที่ไม่ได้มีทักษะ เทควันโด - กังฟู - มวย เลย มาดูสิว่าอะไรจะเกิดขึ้น

       พอขับรถปาดหน้ากัน และมีการจอดรถ มองหน้ากัน พอคุณลงจากรถแล้ว ไอ้ภาพร่างกายที่ใหญ่โต มีมัดกล้ามของคุณ มันจะ "ข่ม" คู่กรณีได้ โดยที่คุณไม่ต้องลงไม้ลงมือเลย คุณจะทำให้คู่กรณี "สยองชวัญ" ได้เลย ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตของคุณ

       และการ "ข่ม" ทางสายตานั้น ก็ไม่ได้ผิดกฏหมายอาญาใดๆ  ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกไล่ออกจากงาน ไม่ต้องเสี่ยงกับการมีประวัติอาชญากรใดๆทั้งสิ้น


สรุป ผมอายุ 50 ปีแล้ว ผมต้องขอขอบคุณกีฬาเพาะกายที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ ทำให้ผมมีบุคลิกดี สุขภาพดี ในขณะที่เพื่อนวัยเดียวกันกับผม เดี้ยงไปหลายคนแล้ว  /  ทุกวันนี้ ( ในวัย 50 ปี ) ผมก็ยังชื่นชม และยังไม่เคยเห็นข้อเสียของกีฬาเพาะกายเลย

       คนที่อายุ 25 ปี ถ้าคุณชื่นชมกีฬาใดกีฬาหนึ่งอยู่ พอคุณอายุ 50 ปีเท่าผม คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ เพราะข้อเข่าคุณอาจจะเสีย เพราะกีฬาที่คุณ "เคย" ชื่นชมนั้น

       ถ้าคุณเป็นผู้ฟัง คุณจะฟังใคร ระหว่างคนที่อายุ 25 ปี กับคนที่อายุ 50 ปีแบบผม ใครเป็นผู้มีประสบการณ์มากกว่ากัน ใครมองเห็น "ภาพรวมของชีวิต" ได้มากกว่ากัน

       ผมไม่ได้บอกว่าผมถูกทุกเรื่อง ไม่ใช่ว่าคนในวัย 50 ปีแล้ว จะต้องมีประสบการณ์น่าเชื่อถือทุกเรื่อง แต่ผมจะพูดว่า ถ้าเป็นเรื่อง "เพาะกาย" ที่ผมศึกษามาอย่างจริงจัง "เพียงด้านเดียว" (ไม่มีกีฬาอื่นเจือปนเลย ) ผมบอกได้เลยว่า กีฬาเพาะกายดีที่สุด เหมาะสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย และจนอายุป่านนี้ ผมก็ยังไม่เห็นข้อเสียของกีฬาเพาะกายเลย

       ส่วนทักษะกีฬา เทควันโด - กังฟู - มวย นั้น ตลอด 26 ปีหลังจากจบการศึกษาแล้วมาทำงานนั้น จนถึงปัจจุบัน ผม "ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย" /  ในขณะที่การเพาะกาย ผม "ได้ใช้ประโยชน์ทุกวัน"

       ลองคิดดูแล้วกันว่า คุณน่าจะทุ่มเทให้กับกีฬาตัวไหนมากกว่ากัน ระหว่างกีฬาที่คุณ "ไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย" กับกีฬาที่คุณ "ได้ใช้ประโยชน์ทุกวัน"




      ภาพบน ) คุณพ่อ คุณแม่ คือผู้มีพระคุณ  แม้ตัวผมจะอายุมากแล้ว แต่ผมก็มักจะหาโอกาสกราบเท้าคุณพ่อ คุณแม่ บ่อยๆ แม้ไม่ได้เป็นเทศกาลอะไรก็ตาม 

       คุณพ่อผม อายุ 97 ปีแล้ว และมาสายเล่น Weight trainning อย่างเดียว "ไม่ได้วิ่ง มา 70 ปีแล้ว" ดังนั้น การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ไม่ได้เกี่ยวกับการทำให้อายุยืนเลย /  การเพาะกาย การเล่นเวท ดีกว่าเยอะครับ  ถ้าอยากอายุยืนเหมือนคุณพ่อผม ก็หันมาเล่นเวทดีกว่าครับ อย่าไปเสียเวลากับอย่างอื่นเลย  ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่แล้ว ( คือ คุณพ่อที่อายุยืน ของผมไงครับ )