Saturday, July 18, 2020

การใช้สเตอรอยด์ ของ Nasser El Sonbaty




ถาม : ได้อ่านประวัติของ นัสเซอร์ เอล ซันบาตี ( Nasser El Sonbaty ) จากเวบเพาะกายแล้ว เห็นเขาพูดว่าเขาใช้สเตอรอยด์ด้วย อยากทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ


bodybuilding-pics.com

ตอบ : สำหรับประวัติของ นัสเซอร์ เอล ซันบาตี ( Nasser El Sonbaty ) ในลิงก์  http://www.tuvayanon.net/N-nm9-001001A-590117-2029.html  ตอนที่ด้านท้ายๆประวัติ เขาพูดถึงการที่ตัวเขาเองใช้สเตอรอยด์เอาไว้ ซึ่งผู้ที่อ่านทั่วไปก็จะเข้าใจผิดคิดไปว่า เขาจะใช้สเตอรอย์ตั้งแต่ต้นอาชีพ จนถึงช่วงปลายอาชีพ ( ก่อนเสียชีวิต ) เลยหรือ? ซึ่งนั่นก็หมายความว่า รายการประกวดที่ผ่านมา ในรายการใหญ่ๆอันได้แก่รายการมิสเตอร์โอลิมเปีย รายการอาร์โนลด์คลาสสิค เขาก็ใช้สเตอรอยด์ด้วยหรือ?

       ให้เพื่อนสมาชิกลองดูประวัติการแข่งขันของเขาควบคู่ไปด้วยนะครับ ( อยู่ในหน้าเวบเดียวกันนั่นแหละ ) การที่ นัสเซอร์ เสียชีวิตเพราะการใช้สเตอรอยด์นั้น เขามาเสียชีวิตในปี ค.ศ.2013 แล้ว โดยที่ปีที่เสียชีวิตนั้น "ห่าง" จากปีที่เขาประกวดรายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์คลาสสิคครั้งสุดท้าย ตั้ง "11 ปี" ( Nasser ประกวดรายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์คลาสิสค ปีสุดท้ายคือ ค.ศ.2002 )

       ดังนั้น ไม่ใช่ว่า นัสเซอร์ จะใช้สเตอรอยด์แต่แรกหรอกนะครับ เพื่อนสมาชิกอย่าไปเข้าใจอย่างนั้น / ตอนที่ นัสเซอร์ มีรูปร่างที่ดีสมัยประกวดในรายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์คลาสสิค มันมาด้วยการฝึกฝนอย่างหนัก และมีระเบียบวินัย

       ส่วนที่เขามาพูดว่าเขาใช้สเตอรอยด์นั้น ก็หมายถึงการใช้ในช่วงหลังๆแล้ว ( และเป็นสาเหตุให้เขาเสียชีวิต )

       เออ ว่า ถ้าสมมติว่า เขาประกวดรายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์ คลาสสิค ปีสุดท้ายคือ ค.ศ.2002 แล้วมาเสียชีวิตในปีถัดมาเลยคือ ค.ศ.2003 มันยังพอฟังได้ว่าเขาใช้สเตอรอยด์ตอนที่ประกวดรายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์ คลาสสิค ก่อนหน้านี้จริง ( เพราะห่างจากปีที่ประกวดรายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์คลาสสิค แค่ปีเดียวแล้วเสียชีวิตเลย )

       แต่นี่ เขาเสียชิวิต หลังจากเกษียณจากการประกวดไปแล้วตั้ง 11 ปี ดังนั้น เพื่อนสมาชิกอย่าไปเหมารวมว่า ตอนที่เขาประกวดปี ค.ศ.2002 ( คือ 11 ปีก่อนหน้านี้ ) เขาจะใช้สเตอรอยด์นะครับ


       ในรายการประกวดเพาะกายต่างๆทั่วโลก มันมีทั้งที่เข้มงวด และไม่เข้มงวดกับการตรวจหาสารสเตอรอยด์นะครับ เวทีที่ไม่เข้มงวดในเรื่องการตรวจสเตอรอยด์ เขาก็มีเหตุผลว่า จะได้มีผู้เข้าประกวดตัวใหญ่ๆ ( เพราะใช้สเตอรอยด์ ) ขึ้นไปประกวดบนเวทีของเขา ทำให้รายการแข่งขันนั้น ดูน่าตื่นตาตื่นใจ  /  แต่ผู้จัดเวทีประกวดใหญ่ๆ เขาจะคิดต่างออกไป

       เวทีประกวดใหญ่ๆ เช่น รายการประกวดมิสเตอร์โอลิมเปีย และรายการประกวดอาร์โนลด์คลาสสิค เขาจะห่วงเรื่องชื่อเสียงของเขา มากกว่าการที่จะให้มีนักเพาะกายตัวใหญ่ๆ ( เพราะใช้สเตอรอยด์ ) ขึ้นประกวด  /  คือหมายความว่า ถ้ามีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่า รายการประกวดใหญ่ๆ มีคนใช้สเตอรอยด์ แล้วผ่านการตรวจ แล้วไปได้ตำแหน่งดีๆ แต่ต่อมาภายหลัง มีคนไปตรวจพบว่าเขาใช้สารสเตอรอยด์ตอนที่ประกวด  /  อย่างนั้น ก็จะทำให้เวทีประกวดใหญ่ๆนั้น เสียความเชื่อมั่น เสียมาตรฐาน ,เสียชื่อเสียงไปเป็นอย่างมาก

       ด้วยเหตุนี้ ( คือกลัวเสียชื่อเสียงในภายหลัง ) รายการประกวดใหญ่ๆ จึงมีความเข้มงวดในการตรวจสเตอรอยด์เป็นอย่างมาก

       ซึ่งไม่เพียงแต่วงการเพาะกายเท่านั้น วงการอื่นๆ เช่นวงการกีฬาปั่นจักรยาน เขาก็มีความเข้มงวดในการตรวจสเตอรอยด์ด้วยเช่นกัน ดูได้จากกรณีของ Lance Armstrong ( เอาชื่อนี้ไปค้นหาที่กูเกิ้ลดูนะครับ ) ที่ถูกผู้จัดรายการออกมาประกาศว่าตรวจพบสารกระตุ้นในร่างกายเขา ในตอนแข่งขันด้วย ซึ่งการประกาศออกมาอย่างนี้ ถือว่าเป็นการ "ไม่เกรงใจ" ความเป็นแชมป์โลก 7 สมัยของเขาเลย ( ซึ่งการกระทำนี้ของผู้จัดรายการ ถือเป็นเรื่องที่น่านับถือนะครับ เพราะมันถูกต้องแล้ว ที่จะต้องประจานกันให้รู้ไปทั่ว )

       ผลของการประกาศว่า Lance Armstrong ใช้สเตอรอยด์ ก็เลยทำให้ Lance Armstrong อดีตแชมป์โลก 7 สมัย ต้องเสียชื่อเสียงป่นปี้ ทั้งๆที่มีประวัติดี มีชื่อเสียงโด่งดังมาตลอด เขาถูกปลดออกจากความสำเร็จทั้งหมดของเขา ย้อนหลังไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี ค.ศ.1998 โน่นเลยนะครับ ( อ่านรายละเอียดได้ที่ wikipedia นะครับ )

       ย้อนกลับมาที่วงการเพาะกายกันต่อครับ "ไม่มีสปอนเซอร์" ( หมายถึงที่ต่างประเทศ ) รายไหนที่จะสนับสนุนนักเพาะกายที่ใช้สเตอรอยด์หรอกครับ ถ้าบริษัทที่เป็นสปอนเซอร์ เขารู้เมื่อไรว่านักเพาะกายคนนั้นใช้สเตอรอยด์ เขาก็จะพากันแบนทันที  /  เหตุผลก็เพราะว่า สปอนเซอร์ เขาอุตส่าห์ทุ่มเม็ดเงินเพื่อใช้ในการ "ปั้น" นักเพาะกายคนนนั้นขึ้นมา แล้วถ้านักเพาะกายผู้นั้น ต้องมาถูกประจานในภายหลังว่าใช้สเตอรอยด์ มันก็จะเหมือนกับกรณีของ Lance Armstrong ที่ต้องเสียชื่อเสียงทั้งหมดที่ทำมา ซึ่งนั่นก็หมายถึงการที่สปอนเซอร์ ทุ่มเม็ดเงินเพื่อการ "ปั้น" ก็จะสูญเปล่าไปด้วยเช่นกัน  /  ดังนั้นจึงไม่มีสปอนเซอร์ ( ของต่างประเทศ ) รายไหน ที่เขาจะไปยุ่งกับนักเพาะกายที่ใช้สเตอรอยด์

       ด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่มีนักเพาะกายระดับซูเปอร์สตาร์คนไหนเขาใช้สเตอรอยด์กันหรอกครับ เพราะเขาก็ต้องกลัวว่าบริษัทสปอนเซอร์จะแบนเขา  /  ก็จะมีแต่พวกขายสเตอรอยด์นั่นแหละ ที่ปั้นเรื่องขึ้นมาว่า คนโน้นก็ใช้สเตอรอยด์ คนนี้ก็ใช้สเตอรอยด์ เพื่อที่ตัวเองจะได้ขายสเตอรอยด์ได้ เท่านั้นเอง

       ณ.ตอนนี้ คุณก็คงจะมองเห็นภาพแล้วนะครับว่า เวทีประกวดใหญ่ๆ อย่าง รายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์คลาสิสค พวกนี้ เขาจะมีระบบการตรวจสเตอรอยด์ที่เข้มงวดมาก ด้วยเหตุผลข้างต้น ( คือกลัวเสียชื่อเสียง )

       อีกประเด็นหนึ่งคือ มันมีธรรมชาติของการใช้สเตอรอยด์อยู่อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเป็นคนที่เคยใช้สเตอรอยด์มาก่อน แม้จะ "หยุดใช้มาหลายปี" มันก็จะทำให้กล้ามเนื้อสวยๆของเขา เกิดอาการชะงัก ,หดตัว ( เพราะเคยได้รับสารกระตุ้น แล้วต่อมาไม่ได้รับ ) ดังนั้น เวลาขึ้นประกวดรายการใหญ่ๆ ถึงแม้ว่าจะตรวจไม่พบสารสเตอรอยด์ ( เพราะหยุดใช้มาหลายปีแล้ว ) แต่ก็ได้อันดับไม่ดี เพราะกล้ามไม่สวย ( อันเนื่องมาจาก การชะงัก ,หดตัวของกล้ามเนื้อ )

       ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ ผมถึงบอกเพื่อนสมาชิกเสมอว่า ถ้าจะดูวิธีฝึก วิธีทานอาหาร ของนักเพาะกายคนไหน ขอให้ดูเฉพาะ "ช่วง" ที่เขาลงแข่งรายการใหญ่ๆ เช่น รายการมิสเตอร์โอลิมเปีย และ รายการอาร์โนลด์คลาสสิค ไม่ใช่ไปดูตอนที่เกษียณแล้ว และถ้าจะให้ดี ก็ควรจะศึกษาจากคนที่ได้ตำแหน่งดีๆ เช่น "สิบคนแรก" ของการประกวดในรายการใหญ่ๆนั้นด้วย ( เพราะคนที่ได้ตำแหน่งไม่ดี อาจจะจัดอยู่ในพวกที่เคยใช้สเตอรอยด์มาก่อน แล้วเลิกใช้ไป ซึ่งแม้จะเลิกใช้ไปนานแล้ว กล้ามก็จะชะงัก ,หดตัว ทำให้กล้ามไม่สวย และได้ตำแหน่งที่ไม่ดี )

       พูดง่ายๆว่า คนที่กล้ามสวย และทำตัวเองให้อยู่ในสิบอันดับแรกของการประกวดใหญ่ๆ เช่นรายการประกวดมิสเคอร์โอลิมเปีย และรายการประกวดอาร์โนลด์คลาสสิค ได้นั้น คือผู้ที่ "ไม่เคยใช้สเตอรอยด์มาก่อน ทั้งในอดีต และปัจจุบัน" ( แต่อนาคตไม่รู้ ) ดังนั้น ถ้าจะศึกษาวิธีกิน วิธีฝึก ก็ควรจะศึกษาจากคนพวกนี้ ( คืออยู่สิบอันดับแรก ของรายการใหญ่ๆ ) จะได้ชัวร์ว่าไม่ถูกแหกตานั่นเอง ( แหกตาในที่นี้ หมายความว่า เห็นนักเพาะกายคนนั้น เขากล้ามสวย ก็เลยเอาเป็นแรงบันดาลใจ เอาเป็นครู แต่ความจริงนักเพาะกายผู้นั้น "กำลังใข้" สเตอรอยด์อยู่ - นี่แหละ ถึงเรียกว่าโดนแหกตา ครับ )

       ส่วนที่ว่านักเพาะกายผู้นั้น จะมาใช้สเตอรอยด์ตอนหลัง ( หมายถึงใช้สเตอรอยด์ตอนที่เกษียณจากการประกวดไปแล้ว ) ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาครับ เราคงไปห้ามไม่ได้ และมันก็พิสูจน์ไม่ได้แล้วว่าเขาใช้สเตอรอยด์หรือไม่ เพราะเขาก็ไม่พุดออกจากปากอยู่แล้ว อีกทั้ง มันก็ไม่มีผลการตรวจหาสเตอรอยด์จากรายการใหญ่ๆ มาการันตีให้


       มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังครับ - จากประสบการณ์การศึกษาวงการเพาะกาย ผมพบว่า นักเพาะกายที่เกษียณไปแล้ว จะทำอยู่สองอย่างคือ

       นักเพาะกายที่เกษียณไปแล้ว "แบบที่ 1" - เอาประวัติที่ดีของตัวเอง มาทำให้เสียหาย ด้วย ความ "เพี้ยน" ,ความ "เบลอ" หรือ ความ "อยากได้เงิน"  /  ซึ่งผมจะอธิบายให้ฟังดังนี้

* * * นักเพาะกายที่เกษียณ แล้ว "เพี้ยน" ( ไม่ขอเอ่ยชื่อ ) เพราะไปเห็นว่า Lance Armstrong ไปให้สัมภาษณ์รายการนั้น รายการนี้ว่าตัวเองใช้สารกระตุ้น แล้วดังดี  /  ส่วนตัวเอง ในอดีต ( สมัยประกวด ) เคยมีแต่คนขอถ่ายรูป ขอทำข่าว แต่พอเกษียณแล้วก็ไม่มีใครสนใจ ก็อยากจะกลับมาดังแบบ Lance Armstrong บ้าง ก็เลยมาประกาศว่าตัวเองใช้สเตอรอยด์ตอนสมัยที่ประกวดอยู่  /  พวกนี้เข้าข่าย "เพี้ยน" นะครับ

       ในความเป็นจริง ถ้าคุณยังเป็นนักเพาะกายดังๆอยู่ ( หมายถึง ตอนที่ยังไม่เกษียณ ) แล้วอยากจะแฉจริงๆว่าวงการประกวดเพาะกายใช้สเตอรอยด์กัน และมีวิธีทำให้ตรวจไม่พบนั้น จริงๆแล้วมันไม่ยาก ก็แค่คุณมีไทม์ไลน์ให้คนอื่นดู แล้วถ่ายทอดสดแบบเรียลไทม์ ให้คนทั่วไปดูเลยว่า "คืนนี้" คุณฉีดสเตอรอยด์ เบอร์นั้น เบอร์นี้ แล้วพอวันรุ่งขึ้น คุณก็ขึ้นประกวดในรายการโอลิมเปียเลย แล้วก็ผ่านการตรวจปัสสาวะเฉยๆเลย

       ต้องอย่างนี้ มันถึงจะเชื่อได้ว่าวงการนี้ มันมีสเตอรอยด์เป็นพื้นฐานจริงๆ

       แต่ถ้าคุณทำไม่ได้อย่างนั้น ( ถ่ายทอดสด 1 วันก่อนการประกวด ว่าคุณใช้สเตอรอยด์ ) แล้วจะอาศัย "ความเพี้ยนของตัวเอง" มาพูดว่าวงการเพาะกายใช้สเตอรอยด์ อย่างนี้ มันฟังไม่ขึ้นหรอกครับ  /   อยากทำตัวเองให้ดัง อยากให้เป็นข่าว แต่ไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลย บ้าหรือเปล่า? ( อ้อ.. แค่เพี้ยนเฉยๆ ยังไม่ถึงกับบ้า )


* * * นักเพาะกายที่เกษียณแล้ว และ "เบลอ" ( ไม่ขอเอ่ยชื่อ ) - บางคนก็เป็นเปลี่ยนอาชีพจากนักเพาะกายไปเป็นดาราแล้ว แล้วตัวเองก็ใช้สเตอรอยด์เพื่อให้กล้ามสวยในภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดง

       เสร็จแล้ว พอเวลผ่านไปหลายปี ก็สับสนตัวเอง แล้วออกมาบอกให้คนอื่นฟังว่าตัวเองเคยใช้สเตอรอยด์สมัยประกวด  /  ความจริง มันเป็นการใช้สเตอรอยด์สมัยที่ตัวเองเป็นนักแสดงแล้ว ไม่ใช่สมัยที่ยังประกวดเพาะกายรายการดังๆอยู่  /   พวกนี้ เรียกว่า "เบลอ" ( อดีตนักเพาะกายแบบแรก "เพี้ยน" อันนี้ "เบลอ" ) ไม่มีหลักฐานสนับสนุนคำพูดของคน "เพื่้ยน" และ "เบลอ" พวกนี้แต่อย่างใด มีแต่คำพูดล้วนๆ มันไม่น่าเชื่อถือหรอกครับ

       ตราบใดที่คุณยังอยู่ในสังคมโซเชียลแบบนี้ คุณต้องทำใจกับเรือ่งกระแสข่าวต่างๆ ที่ออกมาในแง่ไม่ดีเกี่ยวกับวงการเพาะกายของเรา ต้องคิดเสมอว่า วงการเพาะกายของเรา "มีคนอิจฉาเยอะ" เพราะเราเป็นรูปแบบของกีฬา ที่นักกีฬามีรูปร่างดีกว่านักกีฬาวงการอื่นๆ ดังนั้น พอมี อดีตนักเพาะกาย "เพี้ยนๆ" หรือ "เบลอๆ" ออกมาพูดว่า สมัยเขาแข่งขันนั้น เขาใช้สเตอรอยด์ ก็เลยมีแต่พวก "ขี้อิจฉา" ออกมารีบตีข่าวให้แพร่สะพัด ทำนองว่า "เห็นไหมล่ะ ฉันว่าแล้ว" กันให้พรี่บพรั่บ  /  คนที่ "เพี้ยนๆ" และ "เบลอๆ" ก็เลยได้ดังสมใจ


* * * นักเพาะกายที่เกษียณแล้ว แต่เอาประวัติของตัวเองมาหากิน เพราะอยากได้เงิน - คนที่มีกล้ามต้นแขน 21 นิ้วคนแรกของโลก ( ไม่ขอเอ่ยชื่อ - เขาถูกประกาศในนิตยสาร Muscle Power Magazine เมื่อ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2496 ( ค.ศ. November ,1953 ) ว่าเป็นคนที่มีกล้ามต้นแขน 21.25 นิ้วคนแรกของโลก ) ปัจจุบันมีอายุมากแล้ว แกตั้งร้านขายอาหารเสริม และโฆษณาขายสเตอรอยด์อ่ย่างโจ๋งครึ่ม แล้วบอกว่า สมัยประเกวดเมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว แขนแกใหญ่ 21 นิ้วเป็นคนแรกของโลก ก็ด้วยสเตอรอยด์ / แต่คุณลองคิดดูนะครับว่า ถ้าสมัยนั้น มันใช้สเตอรอยด์ได้จริง มันก็ต้องมีนักเพาะกายที่มีแขน 21 นิ้วออกมาเป็นร้อยคนแล้ว เพราะทุกคนก็หาซื้อสเตอรอยด์ได้หมด

       สิ่งที่เป็นความจริงก็คือ สมัยก่อน เขาสร้างกล้ามแขน 21 นิ้ว ได้ด้วยความอุตสาหะจริงๆ และคนๆนี้ ก็ได้การยอมรับอย่างเป็นทางการว่า มีต้นแขน 21 นิ้วมาจากการเพาะกาย เป็นคนแรกของโลกจริงๆ ซึ่งเขาก็คงจะภูมิโจกับชื่อเสียบอันนี้เป็นอันมาก

       แต่ต่อมา พอแก่ตัวลง ไม่มีลูกหลานเลี้ยง ก็เลยขายสเตอรอยด์เสียเลย เพราะกำไรดี แล้วก็เอา "ความภาคภูมิใจในอดีต" ของตัวเองมาเป็นจุดขายสเตอรอยด์เสียอย่างนั้น ด้วยความอยากได้เงิน ทั้งๆที่มันไม่จริง และเป็นการทำให้วงการเพาะกายเสื่อมเสีย แต่ก็อย่างว่าล่ะ คนมันต้องใช้เงินในการซื้ออาหารกิน ชื่อเสียง ความยอมรับนับถือ มันกินไม่ได้ นี่นา


        นักเพาะกายที่เกษียณไปแล้ว "แบบที่ 2" - คือคนที่เอาประวัติการแข่งขันขอบตัวเอง ไปใช้ในการ "สร้างกำลังใจ" ให้ผู้อื่น พวกนี้น่านับถือมาก ให้คุณไปดูตัวอย่างได้ที่ คุณ ลี เฮนีย์ ที่ลิงก์  http://www.tuvayanon.net/L-nm9-001001A-570604-2134.html

       จะเห็นได้ว่า ลี เฮนีย์ มีประวัติการแข่งขันที่ดีเหมือนๆกับนักเพาะกายที่เกษียณไปแล้ว แบบที่ 1 ( พวกนักเพาะกายที่เกษียณไปแล้ว แบบที่ 1 ที่ผมพูดไว้ คือพวกที่ เพี้ยน ,เบลอ และพวกที่อยากได้เงิน ) แต่ความแตกต่างกันก็คือ ลี เฮนีย์ เอาสิ่งนั้น ( ผลการแข่งขันที่ดี ) มาการันตีตัวเอง ให้น่าเชื่อถือ  /  แล้วนำความน่าเชื่อถือนั้น ไปสร้างกำลังใจ สร้างความเชื่อมั่นให้คนอื่น - นี่สิครับ ถืงจะทำให้วงการเพาะกายของเราเจริญ


       คุณต้องมั่นใจในกีฬาเพาะกายของเรา ผมเป็นตำรวจ เวลาจะฟังอะไรแล้ว ต้องอิงจากหลักฐาน และความที่ผมเป็นคนนิสัยอย่างนี้ ( คืออิงหลักฐาน ) กีฬานี้ ก็ยังทำให้ผมเชื่อมั่นมาได้ถึง 36 ปี

       ถ้าผมระแคะระคายว่า กีฬาเพาะกายนี้ มันต้องอิงการใช้สเตอรอยด์จริงๆ ผมคงเลิกศึกษาไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายสิบปีแล้วล่ะครับ เพราะมันเป็นเสียเวลาสำหรับผม เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ดีกว่ามาโดนแหกตาอยู่อย่างนี้

       แต่สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นในวงการเพาะกายมาได้ถึง 36 ปีแบบนี้ ก็เพราะ คนที่ไม่ได้ใช้สเตอรอยด์แล้วฝึก แล้วได้ผลดีนั้น มันมีอยู่จริงๆ ส่วนใครจะใช้สเตอรอยด์ก็ใช้ไป แต่ผม และเพื่อนสมาชิกที่เชื่อมั่นในตัวผม เชื่อมั่นในวงการเพาะกาย เขาไม่สั่นคลอนหรอกครับ พวกเรามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว เพราะเรามีเหตุผล และวิเคราะห์ได้เองว่า อันไหนแหกตา อันไหนไม่แหกตา คุณอย่ามาพูดว่า ในการเพาะกายสำหรับการประกวด ต้องใช้สเตอรอยด์เท่านั้น เพื่อหวังการขายสเตอรอยด์ให้บุคคลอื่นอยู่เลยครับ แม้ว่ามันจะทำกำไรดีให้คุณ แต่มันทำให้วงการเพาะกายเสื่อมเสียไปเปล่าๆ

       คุณต้องมองตามความเป็นจริงว่า นักเพาะกายที่เกษียณแล้ว "มีตั้งกี่พันคน" จะให้คำพูดของนักเพาะกายเกษียณแล้วแค่ "4 คน" ( คือคนที่ "เพี้ยนๆ" ,คนที่ "เบลอๆ" และคนที่เอาประวัติตัวเองมาขายสเตอรอยด์ ) ทำให้คุณขาดความเชื่อมั่นในวงการเพาะกายได้เชียวหรือ? ( ถ้าอยากรู้ว่า "4 คน" นี้มีใครบ้าง ผมใส่ไว้ที่ Comment ด้านล่างแล้วครับ )

       ถ้าพวกที่ขายสเตอรอยด์ บอกว่า ระดับแข่งขัน ( หมายถึงรายการใหญ่ๆ ) เขาใช้สเตอรอยด์กันทั้งนั้น ทำไมคุณไม่ใช้สเตอรอยด์ แล้วขึ้นไปเอาตำแหน่งดีๆ ในรายการประกวดใหญ่ๆ อย่างมิสเตอร์โอลิมเปีย และ อาร์โนลด์ คลาสสิค มาให้ผมดูหน่อยล่ะครับ มันติดขัดตรงไหนหรือ? ก็พูดเองไม่ใช่หรือว่า วงการนี้ ใช้สเตอรอยด์กันทั้งนั้น

       ผมไม่ได้บอกว่า ใช้สเตอรอยด์แล้วกล้ามไม่ใหญ่นะครับ มันก็ใหญ่นั่นแหละ แต่มันจะตามมาด้วยมะเร็งในเม์ดเลือดขาว ตับโต ฯลฯ มันไม่คุ้ม เมื่อเอาความใหญ่ของกล้ามเนื้อไปแลกกับชีวิตที่สั้นลง

       คุณทำให้ถูกต้อง ตรงๆ ไม่ต้องใช้สเตอรอยด์ก็กล้ามใหญ่ได้เหมือนกัน เหมือนกับพวกนักเพาะกายตัวใหญ่ๆในรายการดังๆเช่น โอลิมเปีย และอาร์โนลด์ คลาสสิค

       หรือถ้าคุณไม่ได้เข้าโหมดการแข่งขัน จะเพาะกายเพื่อสุขภาพและบุคลิคตัวเองก็ได้ เพราะคนที่ได้รับประโยชน์จากการเพาะกาย มันไม่ใช่เฉพาะคนที่ต้องประกวดเท่านั้นหรอกครับ มันใช้ได้ทั้ง ...

* * * คนป่วย - ที่ต้องการฟื้นตัวเอง

* * * คนอายุมาก - ที่วิ่งไม่ไหว เล่นกีฬาอื่นไม่ไหว

* * * คนที่ยังไม่ป่วย และอายุยังไม่มาก "แต่" ทำตัวให้ห้พร้อมสำหรับการรับสภาพนั้น คือเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า สำหรับการป่วย และการมีอายุมาก ด้วยการออกกำลังเอาไว้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงตลอดเวลา

* * * เจ้านายที่ต้องการมีบุคคลิดี - ทำให้ลูกน้องเชื่อมั่น / ไม่ใช่เจ้านายที่พุงป่อง แล้วลูกน้องก็มา "นินทาลับหลัง" ว่า ขนาดร่างกายของตัวเอง ยังไม่ดูแลเลย แล้วจะมาสั่งอย่างโน้นอย่างนี้

* * * หนุ่มๆที่อยากใหสาวเหลียวมอง ไม่ใช่ สาวๆ "มองข้ามหัว" ไปเลย ไม่สนใจ

* * * เด็กรูปร่างกุ้งแห้ง ขี้โรค ที่ถูกเพื่อนแกล้งบ่อยๆ


       กีฬาเพาะกาย เป็นกีฬาที่ "ไม่เยอะเกินไป" เหมือนกีฬาอื่น ( เช่น ฟิตเนส ) เพราะไม่จำเป็นต้องควบคุมอาหารการกินไปเสียทุกอย่าง คนเราทำงานเหนือยมา มันก็ต้องกินของดีๆ ของอร่อยๆ ไม่ใช่กินแต่อาการที่จืดชืด และอย่างที่คุณลี ฮาเน่ พูดไว้เป็นประโยคเด็ดว่า คนเรา ฝึกอย่างม้า จะให้กินอย่างนก ได้อย่างไร? ( หมายถึงฝึกหนัก แต่กินน้อย - ซึ่งมันผิด )

       นอกาจากกีฬาเพาะกายจะ "ไม่เยอะเกินไปแล้ว" ก็ยัง "ไม่หย่อนเกินไป" คือ ไม่ถึงกับอนุญาตให้ตัวเอง กินเหล้า กินเบียร์ได้

       กีฬาเพาะกาย มีความพอดีๆ อยู่ตรงกลาง ในเมื่อนักเพาะกายสมัยก่อน สมัย 50 ปีที่แล้ว เช่น แฟรงค์ เซน ,อาร์โนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ เขายังทำกล้ามตัวเองให้สวยได้ โดยที่เน้นเรืองการฝึก และความมีวินัยอย่างเดียว "ไม่เยอะเกินไป" เหมือนนักเพาะกายสมัยนี้ ที่ต้องกินแบบนั้น แบบนี้ ต้องปั่นจักรยานวันละเยอะๆ อะไรแบบนั้น  /  ดังนั้น คุณก็ต้องทำแบบคุณ แฟรงค์ เซน ,อาร์โนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ ได้เช่นกัน เพราะมันไม่ยากเกินไปสำหรับเรา ในการทำตามวิทยาการเมื่อ 50 ปีที่แล้ว

       การฝึกแบบนักเพาะกายเมื่อ 50 ปีก่อน ที่ "ไม่เยอะเกินไป" จะทำให้คุณมีเวลาเหลือในชีวิต มากพอที่จะไปทำอย่างอื่นได้ และมีความสุขกับชีวิตได้ ไม่ใช่ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับโรงยิม และการกินอาหารแบบเคร่งครัด ซึ่งสักวัน ก็จะทำให้คุณเบื่อ ไม่ช้าก็เร็ว เชื่อผมเถอะ


- END -