กฏ 6 ข้อสำหรับการสร้างกล้ามให้ชัด
( โดย รอนนี่ โคลแมน มิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัย )
( โดย รอนนี่ โคลแมน มิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัย )
Webmaster - บทความในหน้าเว็บนี้ มาจากนักเพาะกายที่มากด้วยประสบการณ์และเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดในสายอาชีพนี้ ( เพาะกาย )
ถึงแม้ว่าเพื่อนสมาชิกจะไม่ได้ต้องการหุ่นแบบนักเพาะกาย คือกะว่าจะเอาแค่พอมีกล้ามและต้องการความชัดเท่านั้น
แต่สิ่งที่คุณควรทำก็คือ เรียนรู้จาก The Best คือหมายถึงว่า คุณควรเรียนรู้จากคนที่ "ดีที่สุด" ในสายอาชีพนี้ ( เพาะกาย ) ว่าเขาทำกันอย่างไร?
ในเรื่องของการเพาะกาย มันมีทั้งที่ต้องปฏิบัติ ( คือลงมือบริหารในโรงยิม ) และที่ต้องเจียดเวลามาหาข้อมูล ( ศึกษาหาความรู้ ) ดังนั้น ถ้าเวลาในหนึ่งวันของคุณ มันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีก ( เช่น การทำหน้าที่การงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ) การใช้ "เวลาที่สั้นที่สุด" ในการศึกษาหาความรู้ด้านเพาะกายก็เป็นสิ่งจำเป็น
การจะใช้ "เวลาที่สั้นที่สุด" ในการศึกษาหาความรู้ด้านเพาะกาย ก็คือการที่คุณควรศึกษาจาก The Best นั่นเอง ไม่ควรไปเสียเวลากับ ใครก็ได้ที่ "แค่" พอมีความรู้เรื่องการเพาะกาย / ซึ่งการที่คุณไปเสียเวลากับ ใครก็ได้ที่ "แค่" พอมีความรู้เรื่องการเพาะกาย คุณก็จะต้องเอาคำแนะนำของคนๆนั้น มาลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอีก มันจะทำให้คุณเสียเวลาอันมีค่าของคุณ ไปเปล่าๆ
ในครั้งนี้ผมเอาคำสัมภาษณ์ของ รอนนี่ โคลแทน - Ronnie Coleman มาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ คือจากเว็บของ Muscle&Fitness โดยตรง ( ซึ่งมีเจ้าของ เป็นคนๆเดียวกันกับเจ้าของรายการประกวดมิสเตอร์โอลิมเปีย ) ที่ต้องเน้นเรื่องนี้ก็เพราะว่า บางทีเราไปดูเว็๋บเพาะกายที่อื่น ( ที่ไม่ใช่ของ Muscle&Fitness ) เขาแค่บอกว่า นี่คือคำสัมภาษณ์ของรอนนี่ โคลแมน เราก็ "เชื่อแล้ว" ว่าเป็นคำสัมภาษณ์ของเขาจริงๆ ซึ่งจริงๆแล้ว รอนนี่ อาจจะไม่เคยพูดอย่างนั้นเลยสักครั้งในชีวิตก็ได้
ดังนั้น การยืนยันแหล่งข้อมูลก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน เพราะโลกออนไลน์ทุกวันนี้ มันมั่วกันได้ จนคนอ่านไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนมั่ว? ซึ่งผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องแหล่งข้อมูลมาก จะไตร่ตรองให้มากกว่าปกติไม่ใช่ว่าสักแต่แปลไปอย่างนั้น
เพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอให้เพื่อนสมาชิกได้ศึกษาคำของรอนนี่ โคลแมน มิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัยซ้อนได้เลยครับ เขาพูดสั้นๆ ตรงประเด็น ( เพราะเขาเป็นนักเพาะกายตัวจริง ไม่ใช่แค่นักวิชาการ ) เลยทำให้เนื้อหามีไม่มาก แต่รับรองว่า มันจะคุ้มค่ากับเวลาที่คุณต้องเสียไปในการศึกษาคำสัมภาษณ์ของเขาครับ เพราะเขาคือ The Best นั่นเองครับ
จริงอยู่ ที่คุณไม่สามารถสร้างความชัดให้กล้ามเนื้อได้ถ้าไม่ดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณให้ถูกต้อง "แต่" นั่นก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้คุณสร้างความชัดให้กล้ามเนื้อได้
"การบริหารร่างกาย" มีส่วนสำคัญในการสร้างความชัดไม่น้อยไปกว่าเรื่องอาหารการกินเลย
คุณต้องมีความฉลาดในเรื่องอาหารการกินและการบริหารร่างกายไปพร้อมๆกัน เพื่อไม่ให้ชั้นของไขมันมาบดบังความชัดของกล้ามเนื้อคุณ
ถ้าคุณกำลังมองหาเทคนิคในการสร้างกล้ามเนื้อพร้อมๆกันกับสร้างความชัดจนมองเห็นเส้นเลือดล่ะก็ ไม่มีอะไรจะน่าสนใจไปกว่าเทคนิคที่ได้จาก รอนนี่ โคลแทน - Ronnie Coleman
ด้วยการเป็นเจ้าของเทคนิคการฝึกที่ฉลาด รอนนี่ทำตัวเองให้เป็นตำนาน ด้วยการเป็นมิสเตอร์โอลิมเปียแบบติดต่อกันถึง 8 สมัย เทียบเท่ากับอีกตำนานหนึ่ง คือ ลี ฮานีย์ - Lee Haney
รอนนี่ไม่ได้ตำแหน่งแชมป์โอลิมเปียมาด้วยความใชคดี และไม่ได้ตำแหน่งมาเพราะ "คู่แข่งห่วย" / ตรงกันข้าม คู่แข่งของเขาแต่ละคน คือคนที่ปราบได้ยากทั้งนั้น
รอนนี่พูดว่า "ถ้าคุณกำลังมองหาการสร้างความชัด ผมคิดว่า การฝึก มีผลมากกว่า ไดเอท ของคุณเสียอีก" เขาพูดต่ออีกว่า "จากประสบการณ์เป็นสิบๆปีของผม ผมได้สร้างสูตรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ การเพิ่มกล้ามเนื้อ-พร้อมกับสร้างความชัด-ในเวลาที่สั้นที่สุด ขึ้นมาสำหรับตัวผมเอง"
เราได้ขอร้องให้ รอนนี่ บอกสูตรที่ว่านั้นให้เรารู้ ( Webmaster - คำว่า "เรา" ในที่นี้ คือทีมงาน Muscle&Fitness ซึ่งเป็นทีมงานเดียวกับ Flex / ซึ่งเจ้าของทีมงาน Flex ก็คือเจ้าของการแข่งขันมิสเตอร์โอลิมเปีย - สิ่งนี้จึงเป็นอภิสิทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้รอนนี่ จำเป็นจะต้องเปิดเผยสูตรนั้น ) จริงอยู่ ที่เมื่อคุณได้ทำตามสูตรของรอนนี่นี้แล้ว แม้จะไม่ทำให้คุณได้เป็นมิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัยเหมือนเขา แต่อย่างน้อยก็ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังเดินทางมาถูกทางแล้ว
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ใช้ปริมาณน้ำหนักที่หนักมาก
( ไม่ใช่แค่ "รู้สึกว่าหนัก" อย่างเดียว )
( ข้างล่างนี้ )
( ไม่ใช่แค่ "รู้สึกว่าหนัก" อย่างเดียว )
( ข้างล่างนี้ )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เราเห็นริ้วของกล้ามเนื้อได้ ก็เพราะมันคือ "ร่องความลึก" ของกล้ามเนื้อ นั่นหมายความว่า การจะสร้างริ้วของกล้ามเนื้อแต่ละส่วนให้เห็นชัด เราไม่ควรสนใจแค่พื้นผิวส่วนบนของกล้ามเนื้อที่อยู่ติดกับผิวหนังเท่านั้น
ตรงกันข้าม - เราจะต้องเน้นไปที่กล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" กว่านั้น ( เพราะริ้วของกล้ามเนื้อ มันคือ "ร่องความลึก" ของกล้ามเนื้อ ตามที่กล่าวมาแล้ว )
เราจะต้องพัฒนากล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" ลงไป ให้มัน เต็ม ( thick ) , หนา ( full ) และมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ
การจะทำอย่างนั้นได้ ( คือพัฒนากล้ามเนือที่อยู่ "ลึก" ให้ เต็ม , หนา ฯลฯ ) มีวิธีเดียวคือการใช้น้ำหนักบริหารที่หนักมากเท่านั้น
การใช้น้ำหนักบริหารที่หนักมาก จะช่วยยืด , เหยียด เส้นใยกล้ามเนื้อ ( muscle’s fibers ) ที่อยู่ในส่วนลึกให้ขยายตัว ซึ่งจะอยู่บนหลักการการ "เพิ่มความเครียด" ไปที่กล้ามเนื้อส่วนนั้น
การ "เพิ่มความเครียด" ให้กล้ามเนื้อส่วนนั้น ( หมายถึงกล้ามเนื้อที่อยู่ส่วนลึก ) ด้วยปริมาณลูกน้ำหนักที่หนักมากพอ มันจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเกิดการพัฒนาขึ้น
นั่นหมายความว่า การเน้นไปที่่การบริหารจากส่วนใน ( คือจากกล้ามเนื้อที่อยู่ลึก ) ออกมาสู่ส่วนนอก ( คือส่วนที่อยู่ตื้น อยู่ใกล้กับผิวหนัง ) คือการสร้างความชัดแบบตรงจุดที่สุด
สรุปว่า พยายามใช้ปริมาณน้ำหนักที่หนักมาก กับการบริหารกล้ามเนื้อทุกชิ้น และทุกครั้งที่บริหาร
Webmaster - นี่เป็นคำแนะนำที่แตกต่างกันระหว่างกีฬาเพาะกาย กับกีฬาฟิตเนส / คือกีฬาฟิตเนส จะยุ่งอยู่กับการสลายไขมันที่อยู่บริเวณระดับผิวหนังมากกว่า คือเน้นไปที่ส่วนตื้นๆของร่างกาย ( ด้วยการใช้ลูกน้ำหนักเบาๆ แล้วเน้นไปที่การ Burn ) โดยไม่ได้สนใจการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนใน
แต่รอนนี่ จะทำกลับกัน คือให้เน้นไปที่ส่วนใน ( คือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" ลงไป ) โดยมีหลักกว่า เมื่อพัฒนาส่วนในแล้วนั้น ก็จะส่งผลออกมาที่ส่วนนอกเอง คือทำให้เกิดความชัดที่บริเวณผิวหนัง ( ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ตื้นๆ ) )
การเพาะกายจึงใช้วิธีที่ไม่เหมือนฟิตเนส / การฟิตเนส จะเน้นไปที่การ "อด" อาหาร , การทำทุกอย่างเพื่อสลายไขมัน ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างที่พูดมานี้ มันผิดธรรมชาติ มันฝืนธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่นธรรมชาติของการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้น เราต้องการเติมเต็มชีวิตด้วยการทานของที่ขอบ ถูกไหมครับ?
ดังนั้น เมื่อเราทำอะไรที่ฝ้นธรรมชาติ ( คือมีการอด , มีการละลายไขมัน ) ร่างกายเราก็ฝืน , ดื้อ และต่อต้าน
พอร่างกายมันดื้อ เราก็เพิ่มความหนักหน่วงในการฝ้นธรรมชาติมากขึ้นไปอีก ( เพื่อจะเอาชนะมัน ) คือเพิ่มระดับการอดอาหาร , วิ่งมากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ ฯลฯ
ผลของการเพิ่มความฝืนธรรมชาติของร่างกาย ( ด้วยการอดอาหารมากขึ้น , การวิ่งมากขึ้นจนเกินที่ร่างกายจะรับไหว ) มันก็จะส่งผลทำให้ "จิตใจหดหู่" อยากจะเลิกทำ หรือถ้าลองได้เลิกทำไปแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับมาทำอีก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูสภาพจิตใจของตัวคุณเองดูก็ได้ ( สำหรับคนที่เคยอดอาหาร , หรือต้องปุ่นจักรยาน หรือวิ่งวันละเป็นชั่วโมงๆ )
แต่การเพาะกาย มันจะต่างออกไป เพราะการเพาะกาย มันตือการ "พัฒนา" / ซึ่งการ "พัฒนา" นั้น มันเป็นกฏธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันไม่ฝืนธรรมชาติแต่อย่างใด
เมื่อการ "พัฒนา" มันอาศัยกฏของธรรมชาติ ( คือ ไม่ใช่การ "อด" , การพยายามไปสลายอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ระบบตามธรรมชาติของร่างกายเขาวางไว้ดีแล้ว ( เช่น การมีไขมันอยู่ใต้ผิวหนัง ) ร่างกายจึงไม่ต่อต้าน ( ที่ไม่ต่อต้าน ก็เพราะมันเป็นกฏธรรมชาติ )
เมื่อร่างกายไม่ต้อต้าน ไม่ดื้อ เราจึงทำสิ่งนั้นไปได้เรื่อยๆ เหมือนที่นักเพาะกายเขาเล่นกล้ามติดต่อกันได้ 20 - 30 ปีโดยไม่เบื่อ
สรุปว่า การทำอะไรที่เป็นตามกฏของธรรมชาติ มันดีกว่าการไปฝืนธรรมชาติ และยังมีแนวโน้มที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้มากกว่า
การเพาะกายไม่ทำให้จิตใจเครียด สังเกตุดูได้ว่าพวกนักเพาะกายจะอารมณ์ดีกว่าพวกฟิตเนส เพราะพวกนักเพาะกายเขาจะกินเต็มที่ นอนเต็มที่ ไม่ต้องกินอดๆอยากๆ หรือต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการวิ่ง หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่ / ก็แล้วแต่เพื่อนสมาชิกแล้วกันนะครับว่าจะเลือกแนวไหน?
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ลากยาวไปถึง 10 - 15 Reps ต่อ Set
( ข้างล่างนี้ )
( ข้างล่างนี้ )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เราควรจะบริหารกล้ามเนื้อทุกๆส่วนด้วยหลักการที่ว่า ในทุกๆ Set ที่บริหารนั้น จะต้องบริหารจนถึงขีดสุดของกล้ามเนื้อนั้น / จากประสบการณ์ ผมค้นพบว่าเราควรจะบริหารต่อ Set อย่างน้อยที่สุด 10 Reps และถ้าคุณอยากได้ผลจริงๆ และสามารถทำได้ ผมแนะนำว่าควรจะลากไปให้ถึง 15 Reps ( ต่อ Set )
ถ้าใช้น้ำหนักเบาๆ คุณก็สามารถบริหาร 15 Reps ต่อ Set สบายๆ โดยไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่การใช้น้ำหนักเบาๆ มัน "ไม่" สร้างความเครียดให้กล้ามเนื้อใดๆเลย
ถ้าคุณหวังจะสร้างความเครียดให้กล้ามเนื้อ คุณต้องใช้น้ำหนักมากๆ ซึ่งการใช้น้ำหนักมากๆนั้น คุณไม่สามารถบริหารแบบสบายใจได้
การบริหารโดยการใช้น้ำหนักมากๆ คุณจะต้องตั้งสมาธิ , คุณต้องควบคุมการหดตัว การเหยียดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นที่กำลังบริหารอยู่
สมมติว่าใน Set ที่คุณกำลังบริหารอยู่ คุณกำหนดไว้ 10 Rep , คุณจะเริ่มใข้ศักยภาพของคุณ ( ความแข็งแกร่ง ) ก็ต่อเมื่อคุณเริ่มเข้าสู่ Rep ที่ 4 หรือ Rep ที่ 5 ขึ้นไปแล้วนั่นแหละ
เทคนิคที่ผมใช้ก็คือ ใน Reps ช่วงต้นๆของ Set ( หมายถึง Rep ที่ 1 , ที่ 2 และที่ 3 ) ผมจะ "ทำความรู้สึก" ว่า ผมกำลังบริหารเพื่อบอกกล้ามเนื้อ ( ชิ้นที่กำลังบริหารอยู่ ) ให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการจะรับศึกหนักที่กำลังจะตามมา
จากนั้น ใน Rep ที่ 4 ขึ้นไปจนถึง Rep ที่ 10 ผมจะบริหารอย่างจริงจัง ใช้สมาธิให้มาก ผมจะควบคุมการหดตัว และการหยียดตัวของกล้ามเนื้อ ( ชิ้นที่กำลับบริหารอยู่ ) ในการทำทุกๆ Rep อย่างสมบูรณ์แบบ ( หมายถึง จะเอาใจใส่การทำ Rep ที่ 4 ขึ้นไปจนถึง Rep ที่ 10 ให้มากกว่าการทำ Rep ที่ 1 - Rep ที่ 3 )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จบเซทอย่างมีประสิทธิภาพ
"ไม่ใช่" บริหารไปเรื่อยๆจนหมดแรงไปเอง
( ข้างล่างนี้ )
"ไม่ใช่" บริหารไปเรื่อยๆจนหมดแรงไปเอง
( ข้างล่างนี้ )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
กล้ามเนื้อจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบริหารก็ต่อเมื่อ การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อ ( ในแต่ละ Rep ) อยู่ในความควบคุมของคุณ
แต่่ในทันทีที่คุณเริ่มรู้สึกว่าคุณเริ่มไม่ได้ควบคุม การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นนั้นแล้ว ผลลัพธ์มันจะต่างออกไป
คำว่า ไม่ควบคุม นั้นหมายถึง "บริหารไปเรื่อยๆ จนหมดแรงไปเอง" ( Failure )
ผมไม่เคยบริหารในแต่ละ Set แบบ "บริหารไปเรื่อยๆ จนหมดแรงไปเอง" - I never go to failure
ในขณะที่กำลังบริหารอยู่นั้น ถ้าผมเริ่มรู้สึกว่า ผมเริ่มจะไม่ได้ควบคุม การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นนั้นแล้ว ผมจะหยุดทันที ( แม้ว่าจะยังทำไม่ครบ Rep ที่กำหนดไว้ใน Set นั้นก็ตาม )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Supersets และ Giant sets
( ข้างล่างนี้ )
( ข้างล่างนี้ )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เทคนิคที่ดีที่สุดที่จะทำให้เกิดการปั้มเลือดให้เข้าสู่กล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ ก็คือเทคนิค Supersets และ Giant sets ( เลือกทำอันใดอันหนึ่ง หรือสลับกันทำในแต่ละอาทิตย์ก็ได้ )
ด้วยการใช้แผ่นน้ำหนักที่เหมาะสม และมีการควบคุมการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื่อทุกๆ Rep ( หมายถึงการควบคุมการเหยียด และการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในแต่ละ Rep ) คุณสามารถบริหารกล้ามเนื้อแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดภายในเซทเดียว ( หมายถึงเซทที่เป็น Supersets หรือ Giant sets นั้น )
การใช้เทคนิคบริหารนี้ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนของคุณที่บริหารด้วยเทคนิคนี้ เกิดริ้วกล้ามเนื้อขึ้นอย่างโดดเด่น และไม่เพียงเท่านั้น กล้ามเนื้อที่ถูกบริหารด้วยเทคนิคนี้ จะถูกปั้มเลือดให้เข้าไปสู่กล้ามเนื้อนั้นได้ "มากกว่า" และคงอยู่ในกล้ามเนื้อนั้นได้ "นานกว่า" การบริหารด้วยเซทๆเดียวแบบทั่วๆไป
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ใช้เทคนิคนี้กับทุกๆท่าที่บริหาร หรือทุกๆวันที่บริหาร ด้วยเหตุผลบางประการ ( เช่น อาจจะทำให้กล้ามเนื้อล้าเกินไป )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ทำแต่ละ Rep ให้เต็มระยะทาง อย่างสมบูรณ์แบบ
( ข้างล่างนี้ )
( ข้างล่างนี้ )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ในการทำแต่ละ Rep ( ที่คุณทำแบบ เต็มระยะทางของมัน ) นั้น คุณต้อง "เหยียด" กล้ามเนื้ออย่างราบเรียบ ไม่กระตุก ไม่ใช้การเหวี่ยง ไม่พึ่ง โมเมนตัม ช่วย / และในขณะที่ "หดเกร็ง" กล้ามเนื้อ คุณก็ต้องทำแบบเดียวกัน
คุณต้องรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับกล้ามเนื้อที่คุณกำลังบริหารอยู่ ทุกๆครั้งที่กล้ามเนื้อกำลัง "เหยียด" หรือ "หดเกร็ง" คุณจะต้องรับรู้ความรู้สึกตรงนั้น
Webmaster - จากประสบการณ์การแปลตำราเพาะกายมาสามสิบกว่าปีนี้ มีอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือว่าถ้าเป็นนักเพาะกายทั่วไป เขาจะไม่พูดถึงเรื่องการเอาจิตใจเข้าไปอยู่ในกล้ามเนื้อในขณะที่บริหาร
แต่พวกนักเพาะกายที่ซีเรียส , ที่จริงจังกับการฝึกมากๆ , พวกหมกมุ่น ( โดยเฉพาะพวกแชมป์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งหลาย ) พวกนี้ จะพูดเรื่องนี้เหมือนๆกันหมด
คำว่า "พูดเรื่องนี้เหมือนๆกันหมด" ก็คือว่า เขาจะบอกว่า เวลาบริหาร จะต้องเอาจิตใจเข้าไปรับรู้การเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อชิ้นที่กำลังบริหารอยู่
คล้ายๆกับพวก "ฤาษี" ที่เขาทำสมาธิ ทำฌาน นั่นแหละ คือพวกทำสมาธิ ทำฌาน เขาจะกำหนดจิตตัวเองให้เพ่่งไปที่ลมหายใจตัวเอง ( หมายถึงพวกฤาษี ) ในขณะที่พวกนักเพาะกาย ที่ซีเรียสจริงจัง ก็เปลี่ยนจากการเพ่งสมาธิไปที่ลมหายใจ เหมือนพวกฤาษี มาเป็นการเพ่งสมาธิไปที่กล้ามเนื้อมัดที่กำลังบริหาร ในขณะที่กำลังบริหารอยู่
หมายเหตุ - คำว่า เพ่งสมาธิ ของนักเพาะกาย ก็คือการที่เอาจิตใจไปรับรู้การ "เหยียด" และการ "หดเกร็ง" ของกล้ามเนื้อ ในทุกๆ Rep ที่กำลังบริหารกล้ามเนื้อขิ้นนั้นอยู่
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สร้างภาพในจิตใจ
( ข้างล่างนี้ )
( ข้างล่างนี้ )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ในขณะที่คุณกำลัง "เหยียด" และ "หดเกร็ง" กล้ามเนื้อในทุกๆ Rep อยู่นั้น ให้นึกถึงกล้ามเนื้อส่วนนั้น ( ที่คุณกำลังบริหารอยู่ ) แบบที่ว่า กล้ามเนื้อส่วนนั้นกำลังใหญ่ขึ้น พัฒนาขึ้น
จงจำไว้ว่า ร่างกายจะตอบสนองต่อสิ่งที่คุณคิด
Webmaster - ขอเน้นอีกครั้งนะครับว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้ต้องการมีมัดกล้ามใหญ่ขนาดรอนนี่ แต่การเดินตามเส้นทางที่เขาค้นพบและเอามาบอกสอนนั้น มันเป็นวิธีการเพาะกายที่มีปริสิทธิภาพที่สุดแล้ว ที่เหลือ คุณก็แค่ปรับใช้ให้เข้ากับตัวคุณเอง ยกตัวอย่างเช่น คุณก็ไม่ต้องใช้ดัมเบลล์หนัก "ลูกละ" 60 กก.เหมือนรอนนี่ , หรือไม่ต้องกินแบบมโหฬาร เช่นการกินไข่มื้อละ 18 ฟองเหมือนรอนนี่ ( เรื่องการกินของรอนนี่แบบนี้ หาดูได้ที่ Youtube นะครับ )
- END -