Friday, April 30, 2021

กฏ 6 ข้อสำหรับการสร้างกล้ามให้ชัด

 

กฏ 6 ข้อสำหรับการสร้างกล้ามให้ชัด

( โดย รอนนี่  โคลแมน มิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัย )

Webmaster - บทความในหน้าเว็บนี้ มาจากนักเพาะกายที่มากด้วยประสบการณ์และเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดในสายอาชีพนี้ ( เพาะกาย )

        ถึงแม้ว่าเพื่อนสมาชิกจะไม่ได้ต้องการหุ่นแบบนักเพาะกาย คือกะว่าจะเอาแค่พอมีกล้ามและต้องการความชัดเท่านั้น  

       แต่สิ่งที่คุณควรทำก็คือ เรียนรู้จาก The Best คือหมายถึงว่า คุณควรเรียนรู้จากคนที่ "ดีที่สุด" ในสายอาชีพนี้ ( เพาะกาย ) ว่าเขาทำกันอย่างไร?

       ในเรื่องของการเพาะกาย มันมีทั้งที่ต้องปฏิบัติ ( คือลงมือบริหารในโรงยิม ) และที่ต้องเจียดเวลามาหาข้อมูล ( ศึกษาหาความรู้ ) ดังนั้น ถ้าเวลาในหนึ่งวันของคุณ มันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีก ( เช่น การทำหน้าที่การงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ) การใช้ "เวลาที่สั้นที่สุด" ในการศึกษาหาความรู้ด้านเพาะกายก็เป็นสิ่งจำเป็น

       การจะใช้ "เวลาที่สั้นที่สุด" ในการศึกษาหาความรู้ด้านเพาะกาย ก็คือการที่คุณควรศึกษาจาก The Best นั่นเอง ไม่ควรไปเสียเวลากับ ใครก็ได้ที่ "แค่" พอมีความรู้เรื่องการเพาะกาย  /  ซึ่งการที่คุณไปเสียเวลากับ ใครก็ได้ที่ "แค่" พอมีความรู้เรื่องการเพาะกาย คุณก็จะต้องเอาคำแนะนำของคนๆนั้น มาลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอีก มันจะทำให้คุณเสียเวลาอันมีค่าของคุณ ไปเปล่าๆ 


       ในครั้งนี้ผมเอาคำสัมภาษณ์ของ รอนนี่  โคลแทน - Ronnie  Coleman  มาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ คือจากเว็บของ Muscle&Fitness โดยตรง ( ซึ่งมีเจ้าของ เป็นคนๆเดียวกันกับเจ้าของรายการประกวดมิสเตอร์โอลิมเปีย ) ที่ต้องเน้นเรื่องนี้ก็เพราะว่า บางทีเราไปดูเว็๋บเพาะกายที่อื่น ( ที่ไม่ใช่ของ Muscle&Fitness ) เขาแค่บอกว่า นี่คือคำสัมภาษณ์ของรอนนี่  โคลแมน เราก็ "เชื่อแล้ว" ว่าเป็นคำสัมภาษณ์ของเขาจริงๆ ซึ่งจริงๆแล้ว รอนนี่ อาจจะไม่เคยพูดอย่างนั้นเลยสักครั้งในชีวิตก็ได้

       ดังนั้น การยืนยันแหล่งข้อมูลก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน เพราะโลกออนไลน์ทุกวันนี้ มันมั่วกันได้ จนคนอ่านไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนมั่ว? 
ซึ่งผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องแหล่งข้อมูลมาก จะไตร่ตรองให้มากกว่าปกติไม่ใช่ว่าสักแต่แปลไปอย่างนั้น

       เพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอให้เพื่อนสมาชิกได้ศึกษาคำของรอนนี่ โคลแมน มิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัยซ้อนได้เลยครับ เขาพูดสั้นๆ ตรงประเด็น ( เพราะเขาเป็นนักเพาะกายตัวจริง ไม่ใช่แค่นักวิชาการ ) เลยทำให้เนื้อหามีไม่มาก  แต่รับรองว่า มันจะคุ้มค่ากับเวลาที่คุณต้องเสียไปในการศึกษาคำสัมภาษณ์ของเขาครับ เพราะเขาคือ The Best นั่นเองครับ

      จริงอยู่ ที่คุณไม่สามารถสร้างความชัดให้กล้ามเนื้อได้ถ้าไม่ดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณให้ถูกต้อง "แต่" นั่นก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้คุณสร้างความชัดให้กล้ามเนื้อได้

       "การบริหารร่างกาย" มีส่วนสำคัญในการสร้างความชัดไม่น้อยไปกว่าเรื่องอาหารการกินเลย

       คุณต้องมีความฉลาดในเรื่องอาหารการกินและการบริหารร่างกายไปพร้อมๆกัน เพื่อไม่ให้ชั้นของไขมันมาบดบังความชัดของกล้ามเนื้อคุณ

       ถ้าคุณกำลังมองหาเทคนิคในการสร้างกล้ามเนื้อพร้อมๆกันกับสร้างความชัดจนมองเห็นเส้นเลือดล่ะก็ ไม่มีอะไรจะน่าสนใจไปกว่าเทคนิคที่ได้จาก  รอนนี่  โคลแทน - Ronnie  Coleman  

       ด้วยการเป็นเจ้าของเทคนิคการฝึกที่ฉลาด รอนนี่ทำตัวเองให้เป็นตำนาน ด้วยการเป็นมิสเตอร์โอลิมเปียแบบติดต่อกันถึง 8 สมัย เทียบเท่ากับอีกตำนานหนึ่ง คือ ลี  ฮานีย์ - Lee Haney 

       รอนนี่ไม่ได้ตำแหน่งแชมป์โอลิมเปียมาด้วยความใชคดี และไม่ได้ตำแหน่งมาเพราะ "คู่แข่งห่วย"  /  ตรงกันข้าม คู่แข่งของเขาแต่ละคน คือคนที่ปราบได้ยากทั้งนั้น

       รอนนี่พูดว่า "ถ้าคุณกำลังมองหาการสร้างความชัด ผมคิดว่า การฝึก มีผลมากกว่า ไดเอท ของคุณเสียอีก" เขาพูดต่ออีกว่า "จากประสบการณ์เป็นสิบๆปีของผม  ผมได้สร้างสูตรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ การเพิ่มกล้ามเนื้อ-พร้อมกับสร้างความชัด-ในเวลาที่สั้นที่สุด ขึ้นมาสำหรับตัวผมเอง"

       เราได้ขอร้องให้ รอนนี่ บอกสูตรที่ว่านั้นให้เรารู้ ( Webmaster - คำว่า "เรา" ในที่นี้ คือทีมงาน Muscle&Fitness ซึ่งเป็นทีมงานเดียวกับ Flex  /  ซึ่งเจ้าของทีมงาน Flex ก็คือเจ้าของการแข่งขันมิสเตอร์โอลิมเปีย - สิ่งนี้จึงเป็นอภิสิทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้รอนนี่ จำเป็นจะต้องเปิดเผยสูตรนั้น  )  จริงอยู่ ที่เมื่อคุณได้ทำตามสูตรของรอนนี่นี้แล้ว แม้จะไม่ทำให้คุณได้เป็นมิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัยเหมือนเขา แต่อย่างน้อยก็ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังเดินทางมาถูกทางแล้ว


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ใช้ปริมาณน้ำหนักที่หนักมาก

( ไม่ใช่แค่ "รู้สึกว่าหนัก" อย่างเดียว )


ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       เราเห็นริ้วของกล้ามเนื้อได้  ก็เพราะมันคือ "ร่องความลึก" ของกล้ามเนื้อ  นั่นหมายความว่า การจะสร้างริ้วของกล้ามเนื้อแต่ละส่วนให้เห็นชัด เราไม่ควรสนใจแค่พื้นผิวส่วนบนของกล้ามเนื้อที่อยู่ติดกับผิวหนังเท่านั้น 

       ตรงกันข้าม - เราจะต้องเน้นไปที่กล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" กว่านั้น ( เพราะริ้วของกล้ามเนื้อ มันคือ "ร่องความลึก" ของกล้ามเนื้อ ตามที่กล่าวมาแล้ว )

       เราจะต้องพัฒนากล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" ลงไป ให้มัน เต็ม ( thick ) , หนา ( full ) และมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ

       การจะทำอย่างนั้นได้ ( คือพัฒนากล้ามเนือที่อยู่ "ลึก" ให้ เต็ม , หนา ฯลฯ ) มีวิธีเดียวคือการใช้น้ำหนักบริหารที่หนักมากเท่านั้น

       การใช้น้ำหนักบริหารที่หนักมาก จะช่วยยืด , เหยียด เส้นใยกล้ามเนื้อ ( muscle’s fibers ) ที่อยู่ในส่วนลึกให้ขยายตัว ซึ่งจะอยู่บนหลักการการ "เพิ่มความเครียด" ไปที่กล้ามเนื้อส่วนนั้น 

        การ "เพิ่มความเครียด" ให้กล้ามเนื้อส่วนนั้น ( หมายถึงกล้ามเนื้อที่อยู่ส่วนลึก ) ด้วยปริมาณลูกน้ำหนักที่หนักมากพอ มันจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเกิดการพัฒนาขึ้น

       นั่นหมายความว่า การเน้นไปที่่การบริหารจากส่วนใน ( คือจากกล้ามเนื้อที่อยู่ลึก ) ออกมาสู่ส่วนนอก ( คือส่วนที่อยู่ตื้น อยู่ใกล้กับผิวหนัง ) คือการสร้างความชัดแบบตรงจุดที่สุด

       สรุปว่า พยายามใช้ปริมาณน้ำหนักที่หนักมาก กับการบริหารกล้ามเนื้อทุกชิ้น และทุกครั้งที่บริหาร 

Webmaster - นี่เป็นคำแนะนำที่แตกต่างกันระหว่างกีฬาเพาะกาย กับกีฬาฟิตเนส  /  คือกีฬาฟิตเนส จะยุ่งอยู่กับการสลายไขมันที่อยู่บริเวณระดับผิวหนังมากกว่า คือเน้นไปที่ส่วนตื้นๆของร่างกาย ( ด้วยการใช้ลูกน้ำหนักเบาๆ แล้วเน้นไปที่การ Burn ) โดยไม่ได้สนใจการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนใน

       แต่รอนนี่ จะทำกลับกัน คือให้เน้นไปที่ส่วนใน ( คือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" ลงไป ) โดยมีหลักกว่า เมื่อพัฒนาส่วนในแล้วนั้น ก็จะส่งผลออกมาที่ส่วนนอกเอง คือทำให้เกิดความชัดที่บริเวณผิวหนัง ( ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ตื้นๆ ) ) 
 

       การเพาะกายจึงใช้วิธีที่ไม่เหมือนฟิตเนส  /  การฟิตเนส จะเน้นไปที่การ "อด" อาหาร , การทำทุกอย่างเพื่อสลายไขมัน ฯลฯ  ซึ่งทุกอย่างที่พูดมานี้ มันผิดธรรมชาติ มันฝืนธรรมชาติ  ยกตัวอย่างเช่นธรรมชาติของการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้น เราต้องการเติมเต็มชีวิตด้วยการทานของที่ขอบ ถูกไหมครับ?

       ดังนั้น เมื่อเราทำอะไรที่ฝ้นธรรมชาติ ( คือมีการอด , มีการละลายไขมัน ) ร่างกายเราก็ฝืน , ดื้อ และต่อต้าน

       พอร่างกายมันดื้อ  เราก็เพิ่มความหนักหน่วงในการฝ้นธรรมชาติมากขึ้นไปอีก ( เพื่อจะเอาชนะมัน ) คือเพิ่มระดับการอดอาหาร , วิ่งมากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ  ฯลฯ

       ผลของการเพิ่มความฝืนธรรมชาติของร่างกาย ( ด้วยการอดอาหารมากขึ้น , การวิ่งมากขึ้นจนเกินที่ร่างกายจะรับไหว ) มันก็จะส่งผลทำให้ "จิตใจหดหู่" อยากจะเลิกทำ หรือถ้าลองได้เลิกทำไปแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับมาทำอีก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูสภาพจิตใจของตัวคุณเองดูก็ได้ ( สำหรับคนที่เคยอดอาหาร , หรือต้องปุ่นจักรยาน หรือวิ่งวันละเป็นชั่วโมงๆ ) 


       แต่การเพาะกาย มันจะต่างออกไป เพราะการเพาะกาย มันตือการ "พัฒนา"  /  ซึ่งการ "พัฒนา" นั้น มันเป็นกฏธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันไม่ฝืนธรรมชาติแต่อย่างใด 

       เมื่อการ "พัฒนา" มันอาศัยกฏของธรรมชาติ ( คือ ไม่ใช่การ "อด" , การพยายามไปสลายอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ระบบตามธรรมชาติของร่างกายเขาวางไว้ดีแล้ว ( เช่น การมีไขมันอยู่ใต้ผิวหนัง )  ร่างกายจึงไม่ต่อต้าน ( ที่ไม่ต่อต้าน ก็เพราะมันเป็นกฏธรรมชาติ )

       เมื่อร่างกายไม่ต้อต้าน ไม่ดื้อ เราจึงทำสิ่งนั้นไปได้เรื่อยๆ เหมือนที่นักเพาะกายเขาเล่นกล้ามติดต่อกันได้ 20 - 30 ปีโดยไม่เบื่อ

       สรุปว่า การทำอะไรที่เป็นตามกฏของธรรมชาติ มันดีกว่าการไปฝืนธรรมชาติ และยังมีแนวโน้มที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้มากกว่า

       การเพาะกายไม่ทำให้จิตใจเครียด สังเกตุดูได้ว่าพวกนักเพาะกายจะอารมณ์ดีกว่าพวกฟิตเนส  เพราะพวกนักเพาะกายเขาจะกินเต็มที่ นอนเต็มที่ ไม่ต้องกินอดๆอยากๆ หรือต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการวิ่ง หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่  /  ก็แล้วแต่เพื่อนสมาชิกแล้วกันนะครับว่าจะเลือกแนวไหน?


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ลากยาวไปถึง 10 - 15 Reps ต่อ Set

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      เราควรจะบริหารกล้ามเนื้อทุกๆส่วนด้วยหลักการที่ว่า ในทุกๆ Set ที่บริหารนั้น จะต้องบริหารจนถึงขีดสุดของกล้ามเนื้อนั้น  /  จากประสบการณ์ ผมค้นพบว่าเราควรจะบริหารต่อ Set อย่างน้อยที่สุด 10 Reps และถ้าคุณอยากได้ผลจริงๆ และสามารถทำได้ ผมแนะนำว่าควรจะลากไปให้ถึง 15 Reps ( ต่อ Set )

       ถ้าใช้น้ำหนักเบาๆ คุณก็สามารถบริหาร 15 Reps ต่อ Set สบายๆ โดยไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่การใช้น้ำหนักเบาๆ มัน "ไม่" สร้างความเครียดให้กล้ามเนื้อใดๆเลย

       ถ้าคุณหวังจะสร้างความเครียดให้กล้ามเนื้อ คุณต้องใช้น้ำหนักมากๆ ซึ่งการใช้น้ำหนักมากๆนั้น คุณไม่สามารถบริหารแบบสบายใจได้ 

       การบริหารโดยการใช้น้ำหนักมากๆ คุณจะต้องตั้งสมาธิ , คุณต้องควบคุมการหดตัว การเหยียดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นที่กำลังบริหารอยู่ 

       สมมติว่าใน Set ที่คุณกำลังบริหารอยู่ คุณกำหนดไว้ 10 Rep , คุณจะเริ่มใข้ศักยภาพของคุณ ( ความแข็งแกร่ง ) ก็ต่อเมื่อคุณเริ่มเข้าสู่ Rep ที่ 4 หรือ Rep ที่ 5 ขึ้นไปแล้วนั่นแหละ

       เทคนิคที่ผมใช้ก็คือ ใน Reps ช่วงต้นๆของ Set ( หมายถึง Rep ที่ 1 , ที่ 2 และที่ 3 ) ผมจะ "ทำความรู้สึก" ว่า ผมกำลังบริหารเพื่อบอกกล้ามเนื้อ ( ชิ้นที่กำลังบริหารอยู่ ) ให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการจะรับศึกหนักที่กำลังจะตามมา

       จากนั้น ใน Rep ที่ 4 ขึ้นไปจนถึง Rep ที่ 10 ผมจะบริหารอย่างจริงจัง ใช้สมาธิให้มาก ผมจะควบคุมการหดตัว และการหยียดตัวของกล้ามเนื้อ ( ชิ้นที่กำลับบริหารอยู่ ) ในการทำทุกๆ Rep อย่างสมบูรณ์แบบ  ( หมายถึง จะเอาใจใส่การทำ Rep ที่ 4 ขึ้นไปจนถึง Rep ที่ 10 ให้มากกว่าการทำ Rep ที่ 1 - Rep ที่ 3 )


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

จบเซทอย่างมีประสิทธิภาพ

"ไม่ใช่" บริหารไปเรื่อยๆจนหมดแรงไปเอง


ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     
 
     กล้ามเนื้อจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบริหารก็ต่อเมื่อ การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อ ( ในแต่ละ Rep ) อยู่ในความควบคุมของคุณ

       แต่่ในทันทีที่คุณเริ่มรู้สึกว่าคุณเริ่มไม่ได้ควบคุม การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นนั้นแล้ว ผลลัพธ์มันจะต่างออกไป

       คำว่า ไม่ควบคุม นั้นหมายถึง "บริหารไปเรื่อยๆ จนหมดแรงไปเอง" ( Failure )

       ผมไม่เคยบริหารในแต่ละ Set แบบ "บริหารไปเรื่อยๆ จนหมดแรงไปเอง" -  I never go to failure

       ในขณะที่กำลังบริหารอยู่นั้น ถ้าผมเริ่มรู้สึกว่า ผมเริ่มจะไม่ได้ควบคุม การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นนั้นแล้ว ผมจะหยุดทันที ( แม้ว่าจะยังทำไม่ครบ Rep ที่กำหนดไว้ใน Set นั้นก็ตาม )  


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

Supersets และ Giant sets

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      เทคนิคที่ดีที่สุดที่จะทำให้เกิดการปั้มเลือดให้เข้าสู่กล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ ก็คือเทคนิค  Supersets  และ  Giant sets ( เลือกทำอันใดอันหนึ่ง หรือสลับกันทำในแต่ละอาทิตย์ก็ได้ )

       ด้วยการใช้แผ่นน้ำหนักที่เหมาะสม และมีการควบคุมการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื่อทุกๆ Rep ( หมายถึงการควบคุมการเหยียด และการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในแต่ละ Rep ) คุณสามารถบริหารกล้ามเนื้อแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดภายในเซทเดียว ( หมายถึงเซทที่เป็น Supersets หรือ Giant sets นั้น ) 

       การใช้เทคนิคบริหารนี้  จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนของคุณที่บริหารด้วยเทคนิคนี้ เกิดริ้วกล้ามเนื้อขึ้นอย่างโดดเด่น และไม่เพียงเท่านั้น กล้ามเนื้อที่ถูกบริหารด้วยเทคนิคนี้ จะถูกปั้มเลือดให้เข้าไปสู่กล้ามเนื้อนั้นได้ "มากกว่า" และคงอยู่ในกล้ามเนื้อนั้นได้ "นานกว่า" การบริหารด้วยเซทๆเดียวแบบทั่วๆไป 

       อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ใช้เทคนิคนี้กับทุกๆท่าที่บริหาร หรือทุกๆวันที่บริหาร ด้วยเหตุผลบางประการ ( เช่น อาจจะทำให้กล้ามเนื้อล้าเกินไป )  


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ทำแต่ละ Rep ให้เต็มระยะทาง อย่างสมบูรณ์แบบ

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

       วิธีที่ดีที่สุด ที่เราจะรับรู้ถึงการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อ ( คือรู้ตัวว่ากล้ามเนื้อกำลังเหยียดตัวอยู่ กล้ามเนื้อกำลั้งหดเกร็งอยู่ ) ในแต่ละ Rep นั้น - ก็คือทำให้การเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อในแต่ละ Rep นั้น ให้เป็นไปในรูปแบบที่ทำให้ เต็มระยะทางของมัน ( Full Range of Motion )

       ในการทำแต่ละ Rep ( ที่คุณทำแบบ เต็มระยะทางของมัน ) นั้น คุณต้อง "เหยียด" กล้ามเนื้ออย่างราบเรียบ ไม่กระตุก ไม่ใช้การเหวี่ยง ไม่พึ่ง โมเมนตัม ช่วย  /  และในขณะที่ "หดเกร็ง" กล้ามเนื้อ คุณก็ต้องทำแบบเดียวกัน 

       คุณต้องรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับกล้ามเนื้อที่คุณกำลังบริหารอยู่  ทุกๆครั้งที่กล้ามเนื้อกำลัง "เหยียด" หรือ "หดเกร็ง" คุณจะต้องรับรู้ความรู้สึกตรงนั้น  


Webmaster - จากประสบการณ์การแปลตำราเพาะกายมาสามสิบกว่าปีนี้ มีอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน  นั่นก็คือว่าถ้าเป็นนักเพาะกายทั่วไป เขาจะไม่พูดถึงเรื่องการเอาจิตใจเข้าไปอยู่ในกล้ามเนื้อในขณะที่บริหาร

        แต่พวกนักเพาะกายที่ซีเรียส , ที่จริงจังกับการฝึกมากๆ , พวกหมกมุ่น ( โดยเฉพาะพวกแชมป์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งหลาย ) พวกนี้ จะพูดเรื่องนี้เหมือนๆกันหมด  

       คำว่า "พูดเรื่องนี้เหมือนๆกันหมด" ก็คือว่า เขาจะบอกว่า เวลาบริหาร จะต้องเอาจิตใจเข้าไปรับรู้การเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อชิ้นที่กำลังบริหารอยู่

       คล้ายๆกับพวก "ฤาษี" ที่เขาทำสมาธิ ทำฌาน นั่นแหละ คือพวกทำสมาธิ ทำฌาน เขาจะกำหนดจิตตัวเองให้เพ่่งไปที่ลมหายใจตัวเอง ( หมายถึงพวกฤาษี ) ในขณะที่พวกนักเพาะกาย ที่ซีเรียสจริงจัง ก็เปลี่ยนจากการเพ่งสมาธิไปที่ลมหายใจ เหมือนพวกฤาษี มาเป็นการเพ่งสมาธิไปที่กล้ามเนื้อมัดที่กำลังบริหาร ในขณะที่กำลังบริหารอยู่   


หมายเหตุ - คำว่า เพ่งสมาธิ ของนักเพาะกาย ก็คือการที่เอาจิตใจไปรับรู้การ "เหยียด" และการ "หดเกร็ง" ของกล้ามเนื้อ ในทุกๆ Rep ที่กำลังบริหารกล้ามเนื้อขิ้นนั้นอยู่


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

สร้างภาพในจิตใจ

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

      ถ้าคุณเอาจิตใจจดจ่อ หมกมุ่น และสร้างภาพขึ้นมาในจิตใจ  ไอ้เจ้าสิ่งที่คุณสร้างภาพไว้ในใจ มันจะปรากฏออกมาจริงๆ

       ในขณะที่คุณกำลัง "เหยียด" และ "หดเกร็ง" กล้ามเนื้อในทุกๆ Rep อยู่นั้น ให้นึกถึงกล้ามเนื้อส่วนนั้น ( ที่คุณกำลังบริหารอยู่ ) แบบที่ว่า กล้ามเนื้อส่วนนั้นกำลังใหญ่ขึ้น พัฒนาขึ้น

       จงจำไว้ว่า ร่างกายจะตอบสนองต่อสิ่งที่คุณคิด 



Webmaster - ขอเน้นอีกครั้งนะครับว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้ต้องการมีมัดกล้ามใหญ่ขนาดรอนนี่ แต่การเดินตามเส้นทางที่เขาค้นพบและเอามาบอกสอนนั้น มันเป็นวิธีการเพาะกายที่มีปริสิทธิภาพที่สุดแล้ว  ที่เหลือ คุณก็แค่ปรับใช้ให้เข้ากับตัวคุณเอง ยกตัวอย่างเช่น คุณก็ไม่ต้องใช้ดัมเบลล์หนัก "ลูกละ" 60 กก.เหมือนรอนนี่ , หรือไม่ต้องกินแบบมโหฬาร เช่นการกินไข่มื้อละ 18 ฟองเหมือนรอนนี่ ( เรื่องการกินของรอนนี่แบบนี้ หาดูได้ที่ Youtube นะครับ )

- END -