Sunday, July 31, 2022

Meat/Red meat protein powder

 

Meat/Red meat protein powder


* * * โปรตีนเนื้อวัวสกัดจากกระบวนการทางวิศวกรรมชีวภาพ เข้มข้นกว่าสเต็ก เข้มข้นกว่าเวย์

       - อานุภาพของเนื้อวัวที่สามารถดูดซึมได้เร็วเหมือนเวย์

       - เข้มข้นกว่าสเต็กถึง 350% 

       - อุดมไปด้วย BCAAs และครีเอทีน

       - ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ทำให้ดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว 

       - มีให้เลือกถึง 8 รสชาติความอร่อย


* * * ด้วยเทคโนโลยีใหม่อันล้ำสมัยในการสกัด จำแนก และแยกย่อย

       ทำให้ Beef Protein เป็นโปรตีนเนื้อวัวสกัดจากกระบวนการทางวิศวกรรมชีวภาพที่ให้อานุภาพในการสร้างกล้ามเนื้อดุจดังเนื้อวัว ด้วยระดับกรดอะมิโนที่สูงกว่าแหล่งโปรตีนอื่นๆ ที่มีการนำมาใช้กันในรูปของอาหารเสริม ไม่ว่าจะเป็นเวย์ ถั่วเหลือง นม หรือไข่ก็ตาม Beef Protein มีความเข้มข้นของกรดอะมิโนที่เหมาะกับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อสูงกว่าสเต็กเนื้อสั้นชั้นดีถึง 350%! แถมยังปราศจากไขมันและคลอเลสเตอรอล! 


* * * ด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บไนโตรเจนสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ

       อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษให้ช่วยในการนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันไม่ให้ร่างกายผลิตสารที่จะทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น Beef Protein เป็นโปรตีนเสริมชนิดเดียวที่มีเทคโนโลยีนี้สำหรับเพิ่มระดับการกักเก็บไนโตรเจนและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและศักยภาพร่างกาย


* * * Beef Protein มีครีเอทีนสูงกว่าที่เนื้อวัวปกติจะให้ได้

       เพื่อกระตุ้นผลของครีเอทีนในการสร้างกล้ามเนื้อและการขยายตัวของเซลล์ให้มากขึ้น แต่ละหน่วยบริโภคของ Beef Protein ให้ครีเอทีนมากกว่าสเต็กถึง 20 เท่า เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณพร้อมเต็มที่สำหรับการระเบิดพลังและเติบโตขึ้น และเพื่อเสริมศักยภาพในการสร้างกล้ามเนื้อของ Beef Protein เข้าไปอีก จึงได้เติม BCAAs เพิ่มเพื่อช่วยสร้างสมดุลให้กับไนโตรเจน เพิ่มการสังเคราะห์โปรตีน ลดการสลายกล้ามเนื้อ เพิ่มศักยภาพในการฝึก และลดอาการล้าของกล้ามเนื้อ


* * * เสียงตอบรับจากผู้บริโภค

       ผู้บริโภครายหนึ่ง "ผมเองได้ดื่มเวย์โปรตีนมาหลายปีตามที่มีคนแนะนำมา ผมจะเล่าสั้นๆ ว่า ผมได้เจอโปรตีนนี้ในขณะที่พยายามหาอะไรที่มันดีกว่าเดิม โปรตีนนี้มันเป็นอย่างที่โฆษณาจริงๆ ผมเห็นผลอย่างชัดเจนเพียงไม่นานหลังจากใช้มัน รูปร่างผมเปลี่ยนไปและผมก็ฝึกได้ดีขึ้น คุณจะไม่ผิดหวัง และคุณก็ไม่จำเป็นต้องซื้อครีเอทีนเพิ่มเพราะมันมีอยู่ในอาหารเสริมนี้แล้ว"  


- จบ -

Monday, July 18, 2022

Smith Machine Flat Presses

 

Smith Machine Flat Presses 



( หน้าเว็บนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงครับ )

Tuesday, April 19, 2022

ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน



 

ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน


       ปริมาณน้ำที่เราดื่มในแต่ละวัน มีผลต่อการบริหารร่างกาย และมีผลต่อการรักษาระดับน้ำหนักตัวของคุณ นี่คือความสำคัญที่ทำให้เราควรมาศึกษาเรื่องนี้กันครับ 


       ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้เรามีชีวิตรอดอยู่ได้ โดยน้ำจะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานเป็นปกติ  คำถามก็คือ สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ควรจะดื่มน้ำในปริมาณเท่าไรต่อวัน?

       เหตุผลที่ถามคำถามนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่ง ( คุณสามารถอ่านงานวิจัยนี้ได้โดยตรง โดย คลิกที่นี่ ) ชี้ว่า มีผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมากถึง 46 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้รับปริมาณน้ำที่เพียงพอ  



ภาพบน ) :"คลิกที่ภาพข้างบนนี้" เพื่อไปหน้าเว็บที่มีเครื่องคำนวณนี้นะครับ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     


หลักการคำนวณ ( ที่ใช้ในเครื่องคำนวณในภาพข้างบนนี้ )

       
หลักการใหญ่ๆก็คือ ให้คุณเอาตัวเลขน้ำหนักตัวแบบเป็น "ปอนด์" เป็นตัวตั้ง  จากนั้นก็ถือหลักที่ว่า ปริมาณน้ำที่รับเข้าร่างกาย ที่เหมาะสมต่อคุณก็คือ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" นั้น 

       แต่ถ้าพูดถึงการดื่มน้ำโดยตรง ( แบบว่าเทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม ) คุณจะต้องทานน้ำน้อยกว่านี้ ( คือน้อยกว่า 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" ) เหตุผลก็เพราะว่า ในการทานมื้ออาหารของเราโดยปกติ ก็คือการที่คุณต้องรับน้ำเข้าร่างกายไปบางส่วนอยู่แล้ว ( คือ น้ำที่อยู่ในมื้ออาหาร ) ซึ่งในมื้ออาหารจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 20%


* * * หลักการคำนวณนี้ มา
จากงานวิจัยของสถาบันการแพทย์ของอเมริกา ซึ่งคุณสามารถเข้าไปอ่านได้โดย คลิกที่นี่ 


* * * หลักการคำนวณปริมาณน้ำดื่ม ( แบบเทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม ) คือเอา "0.8 ไปคูณ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์"  /  เพราะอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่แล้วว่า เราได้น้ำจากมื้ออาหาร 20% ของปริมาณน้ำที่เราต้องการในแต่ละวันอยู่แล้ว ดังนั้น ส่วนของน้ำที่เราต้องเทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มในแต่ละวัน คือปริมาณที่คำนวณมาจากการเอา 0.8 ไปคูณ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" นั่นเอง


* * * แต่การคำนวณข้างบนนี้ เป็นการคำนวณสำหรับผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย


* * * ถ้าคุณเป็นผู้ที่ออกกำลังกาย คุณต้อง "ดื่มน้ำเพิ่มพิเศษอีก 8 ออนซ์ ( แยกต่างหากจากที่คำนวณไว้เมื่อสักครู่นี้ ) สำหรับการออกกำลังกายที่ต้องใช้พละกำลัง ทุกๆ 15 นาที"

       Webmaster - เช่น ถ้าคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายวันละ 15 นาที คุณก็ทานน้ำเพิ่มพิเศษอีก 8 ออนซ์ จากที่คำนวณไว้ตอนแรก  ( คำว่า จากที่คำนวณไว้ตอนแรก ในที่นี้ คือการคำนวณโดยเอา 0.8 ไปคูณ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" )

       ถ้าคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายวันละ 30 นาที คุณก็ทานน้ำเพิ่มพิเศษเข้าไปอีก 8 ออนซ์ ( คือรวมเป็น 16 ออนซ์ เพิ่มขึ้น จากที่คำนวณไว้ตอนแรก )

       ถ้าคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายวันละ 45 นาที คุณก็ทานน้ำเพิ่มพิเศษเข้าไปอีก 8 ออนซ์ ( คือรวมเป็น 24 ออนซ์ เพิ่มขึ้น จากที่คำนวณไว้ตอนแรก )


       ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นผู้หญิงที่หนัก 130 ปอนด์ ( 58.9 กก. ) แล้วคุณออกกำลังกายวันละ 45 นาที ตัวเลขที่คำนวณคือ

       ( ( น้ำหนักตัวเป็นปอนด์ x 2/3 ) x 0.80 ) + ( 8 ออนซ์ x 45 นาที ) 

       ในที่นี้คือ 69 + 24 = 93 ออนซ์ ( 93 ออนซ์ นี้คือ ปริมาณน้ำที่ควรดื่มแบบเทใส่แก้วแล้วยกดื่ม ในแต่ละวัน ) Webmaster - ขนาดแก้วที่เราใช้กันทั่วไป จะใส่น้ำได้ประมาณ 8 ออนซ์ นั่นก็หมายความว่า การดื่มน้ำ 93 ออนซ์ต่อวัน ก็คือการดื่มน้ำ 12 แก้วนั่นเอง ( จริงๆแล้วคือ 11.625 แก้ว แต่ปัดทศนิยมขึ้นครับ ) ) 


       ถ้าคุณคิดว่าการดื่มน้ำ ( แบบเทใส่แก้วแล้วยกดื่ม ) จำนวน 93 ออนซ์ มันไม่เหมาะกับคุณ คุณก็สามารถปรับแต่งตามความต้องการได้ เพราะปริมาณการต้องการน้ำ ( แบบเทใส่แก้วแล้วยกดื่ม ) ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ภูมิอากาศรอบตัวคุณ ( บางที่ภูมิอากาศแห้ง บางที่ภูมิอากาศชื้น ) , อาหารที่คุณทาน ( ว่ามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากน้อยแค่ไหน ) และขึ้นกับชีววิทยาส่วนตัว ( personal biology ) ของคุณ  


- - - - - - - - - ( จบ - ในส่วนของการพิมพ์แทรกครับ ) - - - - - - - - -  



จะรู้ได้อย่างไรว่าเราดื่มน้ำเพียงพอแล้ว?

       ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ให้ดูว่าคุณรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาหรือยัง ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วนั่นก็แสดงว่าคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ...

       "แต่" ขอให้คุณอย่าไปถึงจุดนั้นเลย ( คือไม่ควรต้องรอให้ตัวเองรู้สึกกระหายน้ำเสียก่อน ถึงจะรู้ว่าตัวเองดื่มน้ำไม่เพียงพอ แล้วค่อยดื่มน้ำให้มากขึ้น ) "เพราะ" สำรับคนที่จริงจังในการบริหารร่างกาย คุณควรทำตัวเองให้ห่างไกลจากอาการนี้ 

       ขณะที่กำลังบริหารร่างกายอยู่นั้น เราอาจสูญเสียน้ำได้ถึง 100 ออนซ์ผ่านทางเหงื่อที่ไหลออกมา แต่ปัญหาคือ ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำกลับเข้ามาชดเชยส่วนที่สูญเสียน้ำนั้น ( คือ 100 ออนซ์ ) ได้เพียง 30 ออนซ์เทานั้น 

       ความรู้นี้ ทำให้เรารู้ว่าในขณะที่ออกกำลังอยู่นั้น แม้ว่าเราจะดื่มน้ำมากขนาดไหน เราก็จะรู้สึก "ไม่เพียงพอ"  /  และนี่ก็คือความสำคัญของการที่เราจะต้องดื่มน้ำให้เพียงพอในระหว่างวัน "ไม่ใช่" แค่ไปดื่มมากๆขณะออกกำลัง ( Webmaster - ในทางปฏิบัติก็คือ คุณควรนจะดื่มน้ำในช่วงระหว่างวันให้มากๆ ไม่ใช่คิดว่าจะเอาไว้ดื่มมากๆเฉพาะตอนออกกำลังเท่านั้น เหตุผลก็คือ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำกลับมาชดเชยส่วนที่หายไป ( จากการเสียเหงื่อ ) ได้เพียง 30% เท่านั้น - เราก็เลยรู้สึกกระหายน้ำตลอด ( ในขณะออกกำลัง ) แม้ว่าจะพยายามดื่มน้ำให้มากแล้ว )



การดื่มน้ำมากขึ้น มีผลต่อการลดน้ำหนักตัว ! 

       เหตุผลที่การดื่มน้ำให้มากขึ้น แล้วไปทำให้การลดน้ำหนักตัวดีขึ้น นั่นก็คือ การดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาการให้ดีขึ้นนั่นเอง  

       ถ้าตีเป็นตัวเลขก็คือ ถ้าคุณดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติ 8 แก้ว จะช่วยลดแคลอรี่ให้มากกว่าปกติได้ 100 แคลอรี่ และการดื่ม น้ำเย็น จะให้ผลที่ดีกว่าการดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้อง


       ยังไม่จบเรื่องลดน้ำหนักตัวนะครับ - การลด "น้ำหนักตัว" โดยรวม จะดีที่สุดถ้าเราสามารถลดปริมาณ "น้ำ" ที่มีอยู่ในตัวลงได้

       คนทั่วไปมักจะคิดว่า ถ้าต้องการลดปริมาณน้ำที่อยู่ในตัวลง ก็คือการดื่มน้ำให้น้อยลง 

       "แต่" ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงคือ ยิ่งคุณดื่มน้ำมากเท่าไร ก็จะทำให้ปริมาณน้ำที่อยู่ในตัว ลดลง ! 


       ยังมีเหตุผลดีๆสำหรับการลดน้ำหนักตัวที่ทำให้คุณจำเป็นต้องมีขวดน้ำวางอยู่ใกล้ๆตัวตลอดเวลา นั่นคือความรู้ที่ว่า  อาการของ "การขาดน้ำ" คือ

       1. ปวดศรีษะ

       2. เหนื่อยง่าย

       3. ฟุ้งซ่าน 


       ส่วนอาการของ "ความหิว" คือ

       1. ปวดศรีษะ

       2. เหนื่อยง่าย

       3. ฟุ้งซ่าน 


       จะเห็นได้ว่ามันเป็นอาการเดียวกันเลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าเราแก้ "อาการขาดน้ำ" ได้ ก็คือการที่เราสามารถแก้ "อาหารหิว" ได้  

       ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารู้สึกหิว แทนที่เราจะแก้ "อาการหิว" ด้วยการไปหาของว่างกิน ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นการดื่มน้ำ ( เหมือนตอนที่เรากำลังแก้ "อาการขาดน้ำ" ) แทน 


Note : การดื่มน้ำ 2 - 3 แก้วก่อนมื้ออาหาร จะช่วยทำให้คุณอยากอาหารน้อยลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนักของคุณ  


ข้างบนนี้ อ้างอิงจาก : https://www.bodybuilding.com/fun/water_calculator.htm?utm_medium=email&utm_content=12-03-Evening-INT&utm_campaign=12-03-Evening-INT&utm_source=Braze&utm_term= 


- จบ -