Friday, April 30, 2021

กฏ 6 ข้อสำหรับการสร้างกล้ามให้ชัด

 

กฏ 6 ข้อสำหรับการสร้างกล้ามให้ชัด

( โดย รอนนี่  โคลแมน มิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัย )

Webmaster - บทความในหน้าเว็บนี้ มาจากนักเพาะกายที่มากด้วยประสบการณ์และเป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดในสายอาชีพนี้ ( เพาะกาย )

        ถึงแม้ว่าเพื่อนสมาชิกจะไม่ได้ต้องการหุ่นแบบนักเพาะกาย คือกะว่าจะเอาแค่พอมีกล้ามและต้องการความชัดเท่านั้น  

       แต่สิ่งที่คุณควรทำก็คือ เรียนรู้จาก The Best คือหมายถึงว่า คุณควรเรียนรู้จากคนที่ "ดีที่สุด" ในสายอาชีพนี้ ( เพาะกาย ) ว่าเขาทำกันอย่างไร?

       ในเรื่องของการเพาะกาย มันมีทั้งที่ต้องปฏิบัติ ( คือลงมือบริหารในโรงยิม ) และที่ต้องเจียดเวลามาหาข้อมูล ( ศึกษาหาความรู้ ) ดังนั้น ถ้าเวลาในหนึ่งวันของคุณ มันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีก ( เช่น การทำหน้าที่การงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ) การใช้ "เวลาที่สั้นที่สุด" ในการศึกษาหาความรู้ด้านเพาะกายก็เป็นสิ่งจำเป็น

       การจะใช้ "เวลาที่สั้นที่สุด" ในการศึกษาหาความรู้ด้านเพาะกาย ก็คือการที่คุณควรศึกษาจาก The Best นั่นเอง ไม่ควรไปเสียเวลากับ ใครก็ได้ที่ "แค่" พอมีความรู้เรื่องการเพาะกาย  /  ซึ่งการที่คุณไปเสียเวลากับ ใครก็ได้ที่ "แค่" พอมีความรู้เรื่องการเพาะกาย คุณก็จะต้องเอาคำแนะนำของคนๆนั้น มาลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอีก มันจะทำให้คุณเสียเวลาอันมีค่าของคุณ ไปเปล่าๆ 


       ในครั้งนี้ผมเอาคำสัมภาษณ์ของ รอนนี่  โคลแทน - Ronnie  Coleman  มาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ คือจากเว็บของ Muscle&Fitness โดยตรง ( ซึ่งมีเจ้าของ เป็นคนๆเดียวกันกับเจ้าของรายการประกวดมิสเตอร์โอลิมเปีย ) ที่ต้องเน้นเรื่องนี้ก็เพราะว่า บางทีเราไปดูเว็๋บเพาะกายที่อื่น ( ที่ไม่ใช่ของ Muscle&Fitness ) เขาแค่บอกว่า นี่คือคำสัมภาษณ์ของรอนนี่  โคลแมน เราก็ "เชื่อแล้ว" ว่าเป็นคำสัมภาษณ์ของเขาจริงๆ ซึ่งจริงๆแล้ว รอนนี่ อาจจะไม่เคยพูดอย่างนั้นเลยสักครั้งในชีวิตก็ได้

       ดังนั้น การยืนยันแหล่งข้อมูลก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน เพราะโลกออนไลน์ทุกวันนี้ มันมั่วกันได้ จนคนอ่านไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนมั่ว? 
ซึ่งผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องแหล่งข้อมูลมาก จะไตร่ตรองให้มากกว่าปกติไม่ใช่ว่าสักแต่แปลไปอย่างนั้น

       เพื่อไม่ให้เสียเวลา ขอให้เพื่อนสมาชิกได้ศึกษาคำของรอนนี่ โคลแมน มิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัยซ้อนได้เลยครับ เขาพูดสั้นๆ ตรงประเด็น ( เพราะเขาเป็นนักเพาะกายตัวจริง ไม่ใช่แค่นักวิชาการ ) เลยทำให้เนื้อหามีไม่มาก  แต่รับรองว่า มันจะคุ้มค่ากับเวลาที่คุณต้องเสียไปในการศึกษาคำสัมภาษณ์ของเขาครับ เพราะเขาคือ The Best นั่นเองครับ

      จริงอยู่ ที่คุณไม่สามารถสร้างความชัดให้กล้ามเนื้อได้ถ้าไม่ดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณให้ถูกต้อง "แต่" นั่นก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้คุณสร้างความชัดให้กล้ามเนื้อได้

       "การบริหารร่างกาย" มีส่วนสำคัญในการสร้างความชัดไม่น้อยไปกว่าเรื่องอาหารการกินเลย

       คุณต้องมีความฉลาดในเรื่องอาหารการกินและการบริหารร่างกายไปพร้อมๆกัน เพื่อไม่ให้ชั้นของไขมันมาบดบังความชัดของกล้ามเนื้อคุณ

       ถ้าคุณกำลังมองหาเทคนิคในการสร้างกล้ามเนื้อพร้อมๆกันกับสร้างความชัดจนมองเห็นเส้นเลือดล่ะก็ ไม่มีอะไรจะน่าสนใจไปกว่าเทคนิคที่ได้จาก  รอนนี่  โคลแทน - Ronnie  Coleman  

       ด้วยการเป็นเจ้าของเทคนิคการฝึกที่ฉลาด รอนนี่ทำตัวเองให้เป็นตำนาน ด้วยการเป็นมิสเตอร์โอลิมเปียแบบติดต่อกันถึง 8 สมัย เทียบเท่ากับอีกตำนานหนึ่ง คือ ลี  ฮานีย์ - Lee Haney 

       รอนนี่ไม่ได้ตำแหน่งแชมป์โอลิมเปียมาด้วยความใชคดี และไม่ได้ตำแหน่งมาเพราะ "คู่แข่งห่วย"  /  ตรงกันข้าม คู่แข่งของเขาแต่ละคน คือคนที่ปราบได้ยากทั้งนั้น

       รอนนี่พูดว่า "ถ้าคุณกำลังมองหาการสร้างความชัด ผมคิดว่า การฝึก มีผลมากกว่า ไดเอท ของคุณเสียอีก" เขาพูดต่ออีกว่า "จากประสบการณ์เป็นสิบๆปีของผม  ผมได้สร้างสูตรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับ การเพิ่มกล้ามเนื้อ-พร้อมกับสร้างความชัด-ในเวลาที่สั้นที่สุด ขึ้นมาสำหรับตัวผมเอง"

       เราได้ขอร้องให้ รอนนี่ บอกสูตรที่ว่านั้นให้เรารู้ ( Webmaster - คำว่า "เรา" ในที่นี้ คือทีมงาน Muscle&Fitness ซึ่งเป็นทีมงานเดียวกับ Flex  /  ซึ่งเจ้าของทีมงาน Flex ก็คือเจ้าของการแข่งขันมิสเตอร์โอลิมเปีย - สิ่งนี้จึงเป็นอภิสิทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้รอนนี่ จำเป็นจะต้องเปิดเผยสูตรนั้น  )  จริงอยู่ ที่เมื่อคุณได้ทำตามสูตรของรอนนี่นี้แล้ว แม้จะไม่ทำให้คุณได้เป็นมิสเตอร์โอลิมเปีย 8 สมัยเหมือนเขา แต่อย่างน้อยก็ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณกำลังเดินทางมาถูกทางแล้ว


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ใช้ปริมาณน้ำหนักที่หนักมาก

( ไม่ใช่แค่ "รู้สึกว่าหนัก" อย่างเดียว )


ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       เราเห็นริ้วของกล้ามเนื้อได้  ก็เพราะมันคือ "ร่องความลึก" ของกล้ามเนื้อ  นั่นหมายความว่า การจะสร้างริ้วของกล้ามเนื้อแต่ละส่วนให้เห็นชัด เราไม่ควรสนใจแค่พื้นผิวส่วนบนของกล้ามเนื้อที่อยู่ติดกับผิวหนังเท่านั้น 

       ตรงกันข้าม - เราจะต้องเน้นไปที่กล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" กว่านั้น ( เพราะริ้วของกล้ามเนื้อ มันคือ "ร่องความลึก" ของกล้ามเนื้อ ตามที่กล่าวมาแล้ว )

       เราจะต้องพัฒนากล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" ลงไป ให้มัน เต็ม ( thick ) , หนา ( full ) และมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แบบ

       การจะทำอย่างนั้นได้ ( คือพัฒนากล้ามเนือที่อยู่ "ลึก" ให้ เต็ม , หนา ฯลฯ ) มีวิธีเดียวคือการใช้น้ำหนักบริหารที่หนักมากเท่านั้น

       การใช้น้ำหนักบริหารที่หนักมาก จะช่วยยืด , เหยียด เส้นใยกล้ามเนื้อ ( muscle’s fibers ) ที่อยู่ในส่วนลึกให้ขยายตัว ซึ่งจะอยู่บนหลักการการ "เพิ่มความเครียด" ไปที่กล้ามเนื้อส่วนนั้น 

        การ "เพิ่มความเครียด" ให้กล้ามเนื้อส่วนนั้น ( หมายถึงกล้ามเนื้อที่อยู่ส่วนลึก ) ด้วยปริมาณลูกน้ำหนักที่หนักมากพอ มันจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเกิดการพัฒนาขึ้น

       นั่นหมายความว่า การเน้นไปที่่การบริหารจากส่วนใน ( คือจากกล้ามเนื้อที่อยู่ลึก ) ออกมาสู่ส่วนนอก ( คือส่วนที่อยู่ตื้น อยู่ใกล้กับผิวหนัง ) คือการสร้างความชัดแบบตรงจุดที่สุด

       สรุปว่า พยายามใช้ปริมาณน้ำหนักที่หนักมาก กับการบริหารกล้ามเนื้อทุกชิ้น และทุกครั้งที่บริหาร 

Webmaster - นี่เป็นคำแนะนำที่แตกต่างกันระหว่างกีฬาเพาะกาย กับกีฬาฟิตเนส  /  คือกีฬาฟิตเนส จะยุ่งอยู่กับการสลายไขมันที่อยู่บริเวณระดับผิวหนังมากกว่า คือเน้นไปที่ส่วนตื้นๆของร่างกาย ( ด้วยการใช้ลูกน้ำหนักเบาๆ แล้วเน้นไปที่การ Burn ) โดยไม่ได้สนใจการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนใน

       แต่รอนนี่ จะทำกลับกัน คือให้เน้นไปที่ส่วนใน ( คือส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ "ลึก" ลงไป ) โดยมีหลักกว่า เมื่อพัฒนาส่วนในแล้วนั้น ก็จะส่งผลออกมาที่ส่วนนอกเอง คือทำให้เกิดความชัดที่บริเวณผิวหนัง ( ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ตื้นๆ ) ) 
 

       การเพาะกายจึงใช้วิธีที่ไม่เหมือนฟิตเนส  /  การฟิตเนส จะเน้นไปที่การ "อด" อาหาร , การทำทุกอย่างเพื่อสลายไขมัน ฯลฯ  ซึ่งทุกอย่างที่พูดมานี้ มันผิดธรรมชาติ มันฝืนธรรมชาติ  ยกตัวอย่างเช่นธรรมชาติของการดำรงชีวิตของมนุษย์นั้น เราต้องการเติมเต็มชีวิตด้วยการทานของที่ขอบ ถูกไหมครับ?

       ดังนั้น เมื่อเราทำอะไรที่ฝ้นธรรมชาติ ( คือมีการอด , มีการละลายไขมัน ) ร่างกายเราก็ฝืน , ดื้อ และต่อต้าน

       พอร่างกายมันดื้อ  เราก็เพิ่มความหนักหน่วงในการฝ้นธรรมชาติมากขึ้นไปอีก ( เพื่อจะเอาชนะมัน ) คือเพิ่มระดับการอดอาหาร , วิ่งมากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ  ฯลฯ

       ผลของการเพิ่มความฝืนธรรมชาติของร่างกาย ( ด้วยการอดอาหารมากขึ้น , การวิ่งมากขึ้นจนเกินที่ร่างกายจะรับไหว ) มันก็จะส่งผลทำให้ "จิตใจหดหู่" อยากจะเลิกทำ หรือถ้าลองได้เลิกทำไปแล้ว ก็ไม่อยากจะกลับมาทำอีก ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูสภาพจิตใจของตัวคุณเองดูก็ได้ ( สำหรับคนที่เคยอดอาหาร , หรือต้องปุ่นจักรยาน หรือวิ่งวันละเป็นชั่วโมงๆ ) 


       แต่การเพาะกาย มันจะต่างออกไป เพราะการเพาะกาย มันตือการ "พัฒนา"  /  ซึ่งการ "พัฒนา" นั้น มันเป็นกฏธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันไม่ฝืนธรรมชาติแต่อย่างใด 

       เมื่อการ "พัฒนา" มันอาศัยกฏของธรรมชาติ ( คือ ไม่ใช่การ "อด" , การพยายามไปสลายอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ระบบตามธรรมชาติของร่างกายเขาวางไว้ดีแล้ว ( เช่น การมีไขมันอยู่ใต้ผิวหนัง )  ร่างกายจึงไม่ต่อต้าน ( ที่ไม่ต่อต้าน ก็เพราะมันเป็นกฏธรรมชาติ )

       เมื่อร่างกายไม่ต้อต้าน ไม่ดื้อ เราจึงทำสิ่งนั้นไปได้เรื่อยๆ เหมือนที่นักเพาะกายเขาเล่นกล้ามติดต่อกันได้ 20 - 30 ปีโดยไม่เบื่อ

       สรุปว่า การทำอะไรที่เป็นตามกฏของธรรมชาติ มันดีกว่าการไปฝืนธรรมชาติ และยังมีแนวโน้มที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้มากกว่า

       การเพาะกายไม่ทำให้จิตใจเครียด สังเกตุดูได้ว่าพวกนักเพาะกายจะอารมณ์ดีกว่าพวกฟิตเนส  เพราะพวกนักเพาะกายเขาจะกินเต็มที่ นอนเต็มที่ ไม่ต้องกินอดๆอยากๆ หรือต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการวิ่ง หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่  /  ก็แล้วแต่เพื่อนสมาชิกแล้วกันนะครับว่าจะเลือกแนวไหน?


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ลากยาวไปถึง 10 - 15 Reps ต่อ Set

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      เราควรจะบริหารกล้ามเนื้อทุกๆส่วนด้วยหลักการที่ว่า ในทุกๆ Set ที่บริหารนั้น จะต้องบริหารจนถึงขีดสุดของกล้ามเนื้อนั้น  /  จากประสบการณ์ ผมค้นพบว่าเราควรจะบริหารต่อ Set อย่างน้อยที่สุด 10 Reps และถ้าคุณอยากได้ผลจริงๆ และสามารถทำได้ ผมแนะนำว่าควรจะลากไปให้ถึง 15 Reps ( ต่อ Set )

       ถ้าใช้น้ำหนักเบาๆ คุณก็สามารถบริหาร 15 Reps ต่อ Set สบายๆ โดยไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่การใช้น้ำหนักเบาๆ มัน "ไม่" สร้างความเครียดให้กล้ามเนื้อใดๆเลย

       ถ้าคุณหวังจะสร้างความเครียดให้กล้ามเนื้อ คุณต้องใช้น้ำหนักมากๆ ซึ่งการใช้น้ำหนักมากๆนั้น คุณไม่สามารถบริหารแบบสบายใจได้ 

       การบริหารโดยการใช้น้ำหนักมากๆ คุณจะต้องตั้งสมาธิ , คุณต้องควบคุมการหดตัว การเหยียดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นที่กำลังบริหารอยู่ 

       สมมติว่าใน Set ที่คุณกำลังบริหารอยู่ คุณกำหนดไว้ 10 Rep , คุณจะเริ่มใข้ศักยภาพของคุณ ( ความแข็งแกร่ง ) ก็ต่อเมื่อคุณเริ่มเข้าสู่ Rep ที่ 4 หรือ Rep ที่ 5 ขึ้นไปแล้วนั่นแหละ

       เทคนิคที่ผมใช้ก็คือ ใน Reps ช่วงต้นๆของ Set ( หมายถึง Rep ที่ 1 , ที่ 2 และที่ 3 ) ผมจะ "ทำความรู้สึก" ว่า ผมกำลังบริหารเพื่อบอกกล้ามเนื้อ ( ชิ้นที่กำลังบริหารอยู่ ) ให้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการจะรับศึกหนักที่กำลังจะตามมา

       จากนั้น ใน Rep ที่ 4 ขึ้นไปจนถึง Rep ที่ 10 ผมจะบริหารอย่างจริงจัง ใช้สมาธิให้มาก ผมจะควบคุมการหดตัว และการหยียดตัวของกล้ามเนื้อ ( ชิ้นที่กำลับบริหารอยู่ ) ในการทำทุกๆ Rep อย่างสมบูรณ์แบบ  ( หมายถึง จะเอาใจใส่การทำ Rep ที่ 4 ขึ้นไปจนถึง Rep ที่ 10 ให้มากกว่าการทำ Rep ที่ 1 - Rep ที่ 3 )


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

จบเซทอย่างมีประสิทธิภาพ

"ไม่ใช่" บริหารไปเรื่อยๆจนหมดแรงไปเอง


ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     
 
     กล้ามเนื้อจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการบริหารก็ต่อเมื่อ การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อ ( ในแต่ละ Rep ) อยู่ในความควบคุมของคุณ

       แต่่ในทันทีที่คุณเริ่มรู้สึกว่าคุณเริ่มไม่ได้ควบคุม การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นนั้นแล้ว ผลลัพธ์มันจะต่างออกไป

       คำว่า ไม่ควบคุม นั้นหมายถึง "บริหารไปเรื่อยๆ จนหมดแรงไปเอง" ( Failure )

       ผมไม่เคยบริหารในแต่ละ Set แบบ "บริหารไปเรื่อยๆ จนหมดแรงไปเอง" -  I never go to failure

       ในขณะที่กำลังบริหารอยู่นั้น ถ้าผมเริ่มรู้สึกว่า ผมเริ่มจะไม่ได้ควบคุม การเหยียดตัว และการหดตัวของกล้ามเนื้อชิ้นนั้นแล้ว ผมจะหยุดทันที ( แม้ว่าจะยังทำไม่ครบ Rep ที่กำหนดไว้ใน Set นั้นก็ตาม )  


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

Supersets และ Giant sets

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      เทคนิคที่ดีที่สุดที่จะทำให้เกิดการปั้มเลือดให้เข้าสู่กล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ ก็คือเทคนิค  Supersets  และ  Giant sets ( เลือกทำอันใดอันหนึ่ง หรือสลับกันทำในแต่ละอาทิตย์ก็ได้ )

       ด้วยการใช้แผ่นน้ำหนักที่เหมาะสม และมีการควบคุมการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื่อทุกๆ Rep ( หมายถึงการควบคุมการเหยียด และการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในแต่ละ Rep ) คุณสามารถบริหารกล้ามเนื้อแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดภายในเซทเดียว ( หมายถึงเซทที่เป็น Supersets หรือ Giant sets นั้น ) 

       การใช้เทคนิคบริหารนี้  จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนของคุณที่บริหารด้วยเทคนิคนี้ เกิดริ้วกล้ามเนื้อขึ้นอย่างโดดเด่น และไม่เพียงเท่านั้น กล้ามเนื้อที่ถูกบริหารด้วยเทคนิคนี้ จะถูกปั้มเลือดให้เข้าไปสู่กล้ามเนื้อนั้นได้ "มากกว่า" และคงอยู่ในกล้ามเนื้อนั้นได้ "นานกว่า" การบริหารด้วยเซทๆเดียวแบบทั่วๆไป 

       อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้ใช้เทคนิคนี้กับทุกๆท่าที่บริหาร หรือทุกๆวันที่บริหาร ด้วยเหตุผลบางประการ ( เช่น อาจจะทำให้กล้ามเนื้อล้าเกินไป )  


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ทำแต่ละ Rep ให้เต็มระยะทาง อย่างสมบูรณ์แบบ

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

       วิธีที่ดีที่สุด ที่เราจะรับรู้ถึงการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อ ( คือรู้ตัวว่ากล้ามเนื้อกำลังเหยียดตัวอยู่ กล้ามเนื้อกำลั้งหดเกร็งอยู่ ) ในแต่ละ Rep นั้น - ก็คือทำให้การเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อในแต่ละ Rep นั้น ให้เป็นไปในรูปแบบที่ทำให้ เต็มระยะทางของมัน ( Full Range of Motion )

       ในการทำแต่ละ Rep ( ที่คุณทำแบบ เต็มระยะทางของมัน ) นั้น คุณต้อง "เหยียด" กล้ามเนื้ออย่างราบเรียบ ไม่กระตุก ไม่ใช้การเหวี่ยง ไม่พึ่ง โมเมนตัม ช่วย  /  และในขณะที่ "หดเกร็ง" กล้ามเนื้อ คุณก็ต้องทำแบบเดียวกัน 

       คุณต้องรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับกล้ามเนื้อที่คุณกำลังบริหารอยู่  ทุกๆครั้งที่กล้ามเนื้อกำลัง "เหยียด" หรือ "หดเกร็ง" คุณจะต้องรับรู้ความรู้สึกตรงนั้น  


Webmaster - จากประสบการณ์การแปลตำราเพาะกายมาสามสิบกว่าปีนี้ มีอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน  นั่นก็คือว่าถ้าเป็นนักเพาะกายทั่วไป เขาจะไม่พูดถึงเรื่องการเอาจิตใจเข้าไปอยู่ในกล้ามเนื้อในขณะที่บริหาร

        แต่พวกนักเพาะกายที่ซีเรียส , ที่จริงจังกับการฝึกมากๆ , พวกหมกมุ่น ( โดยเฉพาะพวกแชมป์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งหลาย ) พวกนี้ จะพูดเรื่องนี้เหมือนๆกันหมด  

       คำว่า "พูดเรื่องนี้เหมือนๆกันหมด" ก็คือว่า เขาจะบอกว่า เวลาบริหาร จะต้องเอาจิตใจเข้าไปรับรู้การเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อชิ้นที่กำลังบริหารอยู่

       คล้ายๆกับพวก "ฤาษี" ที่เขาทำสมาธิ ทำฌาน นั่นแหละ คือพวกทำสมาธิ ทำฌาน เขาจะกำหนดจิตตัวเองให้เพ่่งไปที่ลมหายใจตัวเอง ( หมายถึงพวกฤาษี ) ในขณะที่พวกนักเพาะกาย ที่ซีเรียสจริงจัง ก็เปลี่ยนจากการเพ่งสมาธิไปที่ลมหายใจ เหมือนพวกฤาษี มาเป็นการเพ่งสมาธิไปที่กล้ามเนื้อมัดที่กำลังบริหาร ในขณะที่กำลังบริหารอยู่   


หมายเหตุ - คำว่า เพ่งสมาธิ ของนักเพาะกาย ก็คือการที่เอาจิตใจไปรับรู้การ "เหยียด" และการ "หดเกร็ง" ของกล้ามเนื้อ ในทุกๆ Rep ที่กำลังบริหารกล้ามเนื้อขิ้นนั้นอยู่


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

สร้างภาพในจิตใจ

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

      ถ้าคุณเอาจิตใจจดจ่อ หมกมุ่น และสร้างภาพขึ้นมาในจิตใจ  ไอ้เจ้าสิ่งที่คุณสร้างภาพไว้ในใจ มันจะปรากฏออกมาจริงๆ

       ในขณะที่คุณกำลัง "เหยียด" และ "หดเกร็ง" กล้ามเนื้อในทุกๆ Rep อยู่นั้น ให้นึกถึงกล้ามเนื้อส่วนนั้น ( ที่คุณกำลังบริหารอยู่ ) แบบที่ว่า กล้ามเนื้อส่วนนั้นกำลังใหญ่ขึ้น พัฒนาขึ้น

       จงจำไว้ว่า ร่างกายจะตอบสนองต่อสิ่งที่คุณคิด 



Webmaster - ขอเน้นอีกครั้งนะครับว่า แม้ว่าคุณจะไม่ได้ต้องการมีมัดกล้ามใหญ่ขนาดรอนนี่ แต่การเดินตามเส้นทางที่เขาค้นพบและเอามาบอกสอนนั้น มันเป็นวิธีการเพาะกายที่มีปริสิทธิภาพที่สุดแล้ว  ที่เหลือ คุณก็แค่ปรับใช้ให้เข้ากับตัวคุณเอง ยกตัวอย่างเช่น คุณก็ไม่ต้องใช้ดัมเบลล์หนัก "ลูกละ" 60 กก.เหมือนรอนนี่ , หรือไม่ต้องกินแบบมโหฬาร เช่นการกินไข่มื้อละ 18 ฟองเหมือนรอนนี่ ( เรื่องการกินของรอนนี่แบบนี้ หาดูได้ที่ Youtube นะครับ )

- END -

Thursday, April 29, 2021

Momentum

 

Momentum

โมเมนตัม

      เวลาที่เราอ่านหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษ เขาชอบพูดว่า เมื่อบริหารด้วยขนาดน้ำหนักที่มากๆ ในช่วงท้ายๆเซท เราอาจต้องใช้ "โมเมนตัม" เข้าช่วย เพื่อให้บริหารจนจบเซทนั้นได้ 

       เพื่อนสมาชิกอาจจะ งง ว่า โมเมนตัม มันมาเกี่ยวอะไรด้วย?  ในครั้งนี้ ผมก็จะเลยจะมาอธิบายให้ฟังนะครับว่าการใช้โมเมนตัมในการยกน้ำหนักมันทำอย่างไร

       เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ผมขออธิบายด้วยการบรรยายตามเหตุการณ์ขณะที่เรากำลังบริหารด้วยท่า Barbell Curl นะครัน

       ตามปกติ เวลาเราบริหารท่า Barbell Curl   เราจะใช้พละกำลังของ ไบเซบ ( เพียงส่วนเดียว ) ในการหดเกร็งกล้ามไบเซบ เพื่องอแขนท่อนปลายขึ้นมา ( พูดง่ายๆคือใช้ไบเซบในการยกบาร์เบลล์ขึ้นมานั้นเอง )

       สมมติว่า เราตั้งใจจะบริหารท่า Barbell Curl ( ในภาพข้างบนนี้ ) ให้ได้ 12 Reps ต่อ 1 Set แต่พอเราบริหารไปได้ถึง Rep ที่ 10 เราก็พบว่าเราไม่แรงพอที่จะยก Rep ที่ 11 และ Rep ที่ 12 เสียแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำเพื่อจะให้เกิด Rep ที่ 11 และ Rep ที่ 12 ได้ก็คือการใช้หลัก "โมเมนตัม" เข้ามาช่วย ดังที่เห็นในภาพข้างล่างนี้ 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ใช้หลัก โมเมนตัม  

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     



      ( ภาพบน ) สมมติว่าเราทำ Rep ที่ 10 ไปเรียบร้อยแล้ว ( ซึ่งตั้งแต่ Rep ที่ 1 จนถึง Rep ที่ 10 ( ที่เราพึ่งทำเสร็จ ) เราก็บริหารตามปกติ โดยไม่ได้ใช้หลักโมเมนตัมแต่อย่างใด ) คราวนี้ พอจะทำ Rep ที่ 11 เราจะใช้หลัก "โมเมนตัม" เข้าช่วยแล้ว ( เพราะเราบริหาร Rep ที่ 11 และ Rep ที่ 12 ไม่ไหวแล้ว ! ) วิธีการก็จะเป็นดังนี้คือ

       ในจังหวะแรก ( ของ Rep ที่ 11 ) ผู้บริหารจะค้อมตัวไปทางด้านหน้า คือค้อมศึรษะและลำตัวท่อนบนไปตามแนวของ เส้นประลูกศรสีเขียว ที่เห็นในภาพข้างบนนี้

       การค้อมศึรษะและลำตัวท่อนบนไปตามแนวของ เส้นประลูกศรสีเขียว ที่เห็นในภาพข้างบนนี้ คือ การสะสมแรงด้วยหลัก โมเมนตัม ก่อนที่เราจะเหวี่ยงตัวกลับไปทางด้านหลัง ( ซึ่งเราจะเหวี่ยงตัวไปทางด้านหลังในจังหวะต่อไป )

* * * ความจริง การจะทำ Rep ที่ 11 ที่ว่านี้ เราก็สามารถเหวี่ยงตัวไปทางด้านหลังได้เลย โดยที่ไม่ต้องมีจังหวะในภาพข้างบนนี้ก็ได้ แต่เอาเป็นว่า ผู้บริหารในภาพข้างบนนี้ ขอใช้หลักโมเมนตัมแบบเต็มรูปแบบเลยก็แล้วกัน คือมี การสะสมแรงด้วยหลัก โมเมนตัม  โดยการค้อมศึรษะและลำตัวท่อนบนไปตามแนวของ เส้นประลูกศรสีเขียว ที่เห็นในภาพข้างบนนี้ก่อน 



      ( ภาพบน ) เมื่อเรา สะสมแรงด้วยหลัก โมเมนตัม ในจังหวะก่อนหน้านี้ไปแล้ว คราวนี้ เราก็จะใช้ โมเมนตัม ( ที่เราสะสมไว้ ) ทำการเคลื่อนที่บาร์เบลล์ที่ถืออยู่ในมือ ด้วยการทำ 2 อย่าง ( ข้างล่างนี้ ) พร้อมกันคือ

       1.ใช้พละกำลังของเรา พุ่งไปที่ลำตัวท่อนบน เพื่อให้เกิดการ "เอนหลัง" ไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ตามแนวของ เส้นประลูกศรสีน้ำเงิน - ฟ้า ที่เห็นในภาพข้างบนนี้   ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ ... ( ข้อ 2 )


       2.ใช้พละกำลังของเรา พุ่งไปที่ "บั้นเอว" เพื่อให้บั้นเอวเกิดการ "เคลื่อนที่บั้นเอวไปข้างหน้า" ตามแนวของ เส้นประลูกศรสีส้ม - เหลือง ที่เห็นในภาพข้างบนนี้  


       ขณะที่กำลังมีการทำทั้ง 2 จังหวะข้างบนนี้ ( คือมีการเอนลำตัวท่อนบนไปทางด้านหลัง และเคลื่อนที่บั้นเอวไปทางด้านหนัา ) ก็อาศัยช่วงเวลานี้ "ตวัด" แขนทั้งสองข้างขึ้นตามแนวของ เส้นประลูกศรสีม่วง ที่เห็นในภาพข้างบนนี้ เพื่อยกบาร์เบลล์ขึ้นทันที 

       ด้วยการทำอย่างนี้ ( คือใช้การ "ตวัด" แขนทั้งสองข้างขึ้นในขณะที่มีการเอนลำตัวท่อนบนไปทางด้านหลัง และเคลื่อนที่บั้นเอวไปทางด้านหนัา ) แทนที่เราจะออกแรงไปที่ไบเซบ 100 % เพื่อจะยกบาร์เบลล์ขึ้นมา  เราก็จะใช้แรงแค่ 50% เท่านั้น ( ในการยกบาร์เบลล์ขึ้นมา )

       จากนั้น เราก็ผ่อนบาร์เบลล์กลับไปที่เดิม ซึ่งไม่ต้องใช้แรงอะไรมากมายแล้ว ซึ่งมันก็คือการจบ Rep ที่ 11 ไปได้ ( พอจะทำ Rep ที่ 12  เราก็ทำซ้ำแบบนี้อีก - จนในที่สุด ก็ถือได้ว่าเราทำ Set นี้ได้ 12 Rep ตามที่ตั้งใจไว้แล้ว )

       ทั้งหมดที่พูดมานี้ คือการใช้หลักโมนเมนตัมที่ผมพูดถึงนั่นเองครับ 

       การใช้หลักโมเมนตัมที่ว่านี้ เขาถือว่าเป็น "การโกง" แบบหนึ่ง เพราะว่าถ้า "ไม่โกง" นั้น ( คือบริหารแบบขาวสะอาดนั้น ) เราจะต้องยื่นนิ่งๆ ( คือยืนลำตัวตรง ) แล้วใช้แรงของไบเซบทั้ง 2 ข้างยกบาร์เบลล์ที่ถืออยู่ในมือขึ้นมา คือหมายความว่าต้องใช้พละกำลังอัดไปที่กล้ามไบเซบแบบ 100%

       แต่พอเป็น "การโกง" แบบที่เห็นในภาพข้างบนนี้ แทนที่จะใช้แรงไปที่ไบเซบอย่างเดียว เราก็แบ่งแรงไปทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของลำตัวท่อนบนไปทางด้านหลัง ในจังหวะเดียวกันกับที่ใช้แรงไปบั้นเอว เพื่อให้บั้นเอวเคลื่อนที่ไปข้างหน้า  แล้วใช้แรงไปที่ไบเซบเพียง 50% เท่านั้น


หมายเหตุ - เพื่อนสมาชิกอาจสงสัยว่า ก็ในเมื่อเรามีแรงเหลือที่จะเอนตัวไปทางด้านหลัง ( รวมไปถึง การเคลื่อนบั้นเอวไปทางด้านหน้า ) ทำไมไม่ใช้แรงที่ว่านั้น มายกบาร์เบลล์ขึ้นมาตรงๆเลย?  คำตอบก็คือว่า เพราะตอนนี้ "กล้ามไบเซบมันล้า" จนยก Rep ที่ 11 ( และ Rep ที่ 12 ) ไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่ว่าเราหมดแรงนะครับ

       คือเรายังมีแรงเหลืออยู่ ( เราถึงใช้แรงของเรา เอนตัวไปทางด้านหลัง ( รวมไปถึง การเคลื่อนบั้นเอวไปทางด้านหน้า ) ) ได้  เพียงแต่ว่า ที่เรายกบาร์เบลล์ไม่ขึ้นแล้ว ก็เพราะ "กล้ามไบเซบมันล้า" จนเกินกำลังแล้วนั่นเอง เราถึงต้องโกง ด้วยการใช้หลักโมเมนตัมเข้าช่วยไงครัน  

ภาพบน ) การใช้หลักโมเมนตัม ( ที่พูดมาในหน้าเว็บนี้ )

เราจะพบอยู่ในการใช้เทคนิค Cheat นะครับ ( คลิ๊กเพื่ออ่านได้นะครับ )  

- END -

Wednesday, April 21, 2021

Hammer Strength Low Row ( Single Arm )

 

Hammer Strength Low Row ( Single Arm )

  

* * * อุปกรณ์ที่จะใช้บริหารในท่านี้ ทางบริษัทผู้ผลิตเขาจะออกแบบมาให้มีเบาะอยู่ 2 ที่คือ

       1.เบาะอันที่ 1 - คือเบาะที่ทำเป็นที่สำหรับนั่ง คือเบาะที่จะให้เราเอา "ก้น" ไปวางไว้บนเบาะนั้น


       2.เบาะอันที่ 2 - คือเบาะที่เมื่อผู้บริหารนั่งบนเบาะที่ทำเป็นนั่ง ( เบาะอันที่ 1 ) และหันหน้าเข้าหาอุปกรณ์แล้ว เบาะอันนี้ ( คือ เบาะอันที่ 2 นี้ ) ทางบริษัทผู้ผลิต เขาทำไว้ให้มีความสูงระดับหน้าอก

       หน้าที่ของ เบาะอันที่ 2 นี้ มีไว้ให้ผู้บริหารเอาหน้าอกของผู้บริหารไปแนบไว้ ตลอดเวลาที่บริหารท่านี้

       การที่ผู้บริหารเอาหน้าอกไปแนบไว้กับ เบาะอันที่ 2 นี้ มีประโยชน์คือทำให้ลำตัวท่อนบนถูกตรึงอยู่กับที่


* * * ความสำคัญของการที่ผู้บริหารต้องทำให้ลำตัวท่อนบนถูกตรึงอยู่กับที่ ก็เพราะว่า เวลาที่เราบริหารด้วยอุปกรณ์นี้อยู่ จะต้องมีการดึง ที่จับ - Handle เข้าหาลำตัวท่อนบนของผู้บริหาร

       ถ้าไม่มี เบาะอันที่ 2 ที่ว่านี้ ก็จะทำให้ เวลาที่ผู้บริหารดึง ที่จับ - Handle เข้าหาลำตัวท่อนบนของผู้บริหารนั้น ร่างกายท่อนบนของผู้บริหารก็จะ "โน้ม" ไปข้างหน้า

       เมื่อลำตัวท่อนบน มีการ "โน้ม" ไปข้างหน้า ( ในขณะที่บริหาร ) แล้ว โดยธรรมชาติ มนุษย์จะออกแรงต้าน

       การออกแรงต้านที่ว่านั้น ก็คือการเกร็งไปที่ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง

       การเกร็งไปที่ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง ก็คือการที่ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง มีส่วนร่วมในการเข้ามาออกแรงในการบริหารท่านี้ 


       คือหมายความว่า ในการบริหารท่านี้ ถ้าไม่ตรึงลำตัวท่อนบนให้อยู่กับที่ ( ด้วย เบาะอันที่ 2 ที่ว่านี้ ) ก็จะทำให้เราต้องบริหาร กล้ามเนื้อ Latissimus dorsi "และ" กล้ามหลังส่วนล่าง ไปพร้อมๆกันด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ของเรา  /  วัตถุประสงค์ของเราในการบริหารท่านี้คือ การออกกำลังไปที่ กล้ามเนื้อ Latissimus dorsi เพียงส่วนเดียว  /  เราไม่ต้องการให้ กล้ามหลังส่วนล่าง มาร่วมออกแรงด้วย 

       แต่พอมี เบาะอันที่ 2 นี้ ( ซึ่งจะทำให้ ลำตัวท่อนบนของผู้บริหารถูกตรึงอยู่กับที่ ตลอดเวลาที่เราบริหารท่านี้ ) ก็จะทำให้ เวลาที่ผู้บริหารดึง ที่จับ - Handle เข้าหาลำตัวท่อนบนของผู้บริหารนั้น ร่างกายท่อนบนของผู้บริหารก็จะ "ไม่โน้ม" ไปข้างหน้า

       เมื่อลำตัวท่อนบน "ไม่โน้ม" ไปข้างหน้า ( ในขณะที่บริหาร ) แล้ว ก็จะไม่มีการเกร็งไปที่ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง

       เมื่อไม่มีการเกร็งไปที่ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง ก็หมายความว่า กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง ไม่เข้ามาร่วมออกแรงด้วย

       เมื่อ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง ไม่เข้ามาร่วมออกแรงด้วย ก็แปลว่า ในการบริหารท่านี้ เราจะบริหารไปที่ กล้ามเนื้อ Latissimus dorsi เพียงอย่างเดียวนั่นเอง ( ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของเราในการบริหารท่านี้  )


       ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การที่มี เบาะอันที่ 2 นี้ ( หมายถึงเบาะที่เราเอาหน้าอกไปแนบอยู่ ) จะทำให้ กล้ามเนื้อ Latissimus dorsi ได้ออกแรงเพียงส่วนเดียว นั่นเอง ( กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง จะไม่มาร่วมออกแรงด้วย )


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ท่าเตรียม

ข้างล่างนี้ ) 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

* * * นั่งลงบน เบาะอันที่ 1 ( คือ เบาะที่ผมอธิบายไปแล้วข้างต้นในหัวข้อ "เกี่ยวกับอุปกรณ์" ) 


* * * เอามือข้างซ้ายจับตรงที่ ที่จับ - Handle ของอุปกรณ์  /  ส่วนมือขวา จะเอาไปวางไว้ที่ไหนก็ได้ คือจะเอามือขวาไปวางไว้ที่หน้าตักขวาของผู้บริหารก็ได้ หรือจะจับไว้ตรงที่ ที่จับ - Handle ของอุปกรณ์ ( ด้านขวา ) ก็ได้ 


หมายเหตุ - ที่พูดข้างบนนี้ หมายถึงคนที่ "ถนัดขวา" นะครับ  /  เพราะคนที่ถนัดขวานั้น กล้ามปีก ด้านซ้าย จะเติบโตไม่ค่อยทัน กล้ามปีก ด้านขวา  /  ดังนั้น เวลาบริหารท่าที่ต้องบริหารทีละข้าง ( เช่นท่านี้ ) จึงต้องเริ่มบริหารจากกล้ามด้านที่ "ด้อยกว่า" ก่อนเสมอ คือ ถ้าเป็นคนถนัดขวา ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการบริหารกล้ามเนื้อด้านซ้ายก่อน เพราะกล้ามเนื้อด้านซ้าย เป็นกล้ามเนื้อส่วนที่ด้อยกว่านั่นเอง

       แต่ถ้าคุณเป็นคน "ถนัดซ้าย" คุณก็จะต้องทำกลับกัน คือเริ่มบริหารด้วยกล้ามเนื้อด้านขวาก่อน เพราะกล้ามเนื้อด้านขวาของคุณ เป็นกล้ามเนื้อส่วนที่ "ด้อยกว่า"

       สรุปว่รา ในตัวอย่างนี้ ผมจะเหมาเอาว่าคุณเป็นคนที่ "ถนัดขวา" นะครับ


* * * เอาลำตัวท่อนบน นาบไปกับ เบาะอันที่ 2 ( คือ เบาะที่ผมอธิบายไปแล้วข้างต้นในหัวข้อ "เกี่ยวกับอุปกรณ์" )


* * * ปรับท่าทางการนั่งให้มั่นคง ไม่โยกซ้าย โยกขวา


* * * จากน้้นก็ให้ทำความรู้สึกว่า เราได้ทำการ "ล็อก" ร่างกายทั้งหมดทุกส่วนให้อยู่กับที่เหมือนการโดนแช่แข็ง หรือการถูกสตาฟไว้

       และเราจะ "ล็อก" ร่างกายทั้งหมดให้อยู่กับที่แบบนี้ตลอดเวลาที่บริหารท่านี้ โดยให้ขยับได้เฉพาะแขนข้างที่กำลังบริหารอยู่เท่านั้น


* * * ทั้งหมดที่พูดมานี้คือการที่ผู้บริหารทำเพื่อให้ตัวเองอยู่ใน "ท่าเตรียม" - คือเตรียมพร้อมที่จะเริ่ม บริหารจริง ( ในขั้นตอนต่อไป ) แล้ว 



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

เริ่มบริหารจริง

โดยเริ่มจากการบริหารกล้ามปีก ด้านซ้าย ก่อน )

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

* * * จากการที่เราอยู่ใน ท่าเตรียม ( ซึ่งก็จะเป็นท่าเดียวกันกับ จังหวะที่ 1 ) ก็ให้ผู้บริหาร "ออกแรงไปที่ กล้าม Lat ด้านซ้าย" แล้วเริ่มดึง ที่จับ - Handle เข้าหาลำตัวท่อนบน


ข้อสังเกตุ - ให้ทำความรู้สึกว่า "ไม่ได้ ออกแรง" ไปที่กล้ามไบเซบข้างซ้าย เลยนะครับ  /  ให้ทำความรู้สึกว่ามือซ้ายที่กำลังจับ ที่จับ - Handle อยู่นั้น เป็นแค่ ตะขอ ( Hook ) ที่ใช้เกี่ยว ที่จับ - Handle เพื่อจะดึงเข้าหาตัวเท่านั้น

       เราจะต้องทำความรู้สึกว่า การดึง ที่จับ - Handle เข้าหาตัวในครั้งนี้ เป็นพละกำลังที่เราส่งไปที่ กล้าม Lat ด้านซ้าย เพียงส่วนเดียวเท่านั้น

       พละกำลังที่เราส่งไปที่ กล้าม Lat ด้านซ้าย นั้น คือแรงที่เราใช้ในการ "ออกแรงต้าน" กับความต้านทานของอุปกรณ์ ( คำว่า-ความต้านทานของอุปกรณ์-ที่พูดถึงนี้นัี้น ก็มาจากปริมาณน้ำหนักของ "แผ่นน้ำหนัก" ที่เราใส่ไปที่ตัวอุปกรณ์นั่นเอง ) 

       ทันทีที่เราเริ่มใช้มือซ้าย ดึง ที่จับ - Handle เข้าหาร่างกายท่อนบนนั้น ก็ให้ "เริ่ม-หายใจออก"


* * * ดึง ที่จับ - Handle ด้านซ้ายอันนั้น "ผ่าน" เอวทางด้านซ้ายของเรา

       ที่สำคัญคือ ณ.ตอนนี้ เราต้อง "กด" หน้าอกแนบไปกับ เบาะอันที่ 2 ให้มั่นคง  /  ที่ต้องเน้นเรื่องนี้ก็เพราะว่า ถ้าเราไม่กดหน้าอกแนบไปกับตัวเบาะล่ะก็ มันจะเกิดการเอี้ยวตัวไปทางด้านซ้ายโดยอัตโนมัติ  /  ซึ่งการเอี้ยวตัวไปทางด้านซ้ายโดยอัตโนมัตินั้น เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ร่างกายทำให้เกิดขึ้นมา เพื่อช่วยในการดึง ที่จับ - Handle "ผ่าน" เอวด้านซ้ายของเรา

       ซึ่งปฏิกิริยาอัตโนมัติ ( ของร่างกายเรา ) ที่มีการเอี้ยวตัวไปทางด้านซ้ายที่ว่านี้ ก็คือการทำให้ "เอว" เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแรง ( อย่าลืมว่า เราจะต้องพยายามใช้แรงจาก กล้าม Lat ด้านซ้าย ในการบริหารท่านี้ เป็นกล้ามเนื้อพียงส่วนเดียวเท่านั้น  /  เราจะพยายามไม่ใช้แรงจากกล้ามเนื้อส่วนอื่น ( เช่นจาก "เอว" ) เข้ามาช่วยออกแรง )  


* * * ใช้มือซ้ายนั้น ดึง ที่จับ - Handle ด้านซ้ายอันนั้น ดึงไปจนสุดทาง คือไม่สามารถจะดึงมือซ้าย ( ที่กำลังจับ ที่จับ - Handle ) ไปได้มากกว่านั้นอีกแล้ว ( อย่าลืมว่า เรากำลัง "กด" หน้าอกแนบไปกับ เบาะอันที่ 2 อยู่ )

       ในจังหวะที่ดึง ที่จับ - Handle ด้านซ้ายอันนั้น ดึงไปจนสุดทางแล้วนั้น ผู้บริหารก็จะ "หายใจออก" หมดปอดพอดี 

       ในจังหวะที่ดึง ที่จับ - Handle ด้านซ้ายอันนั้น ดึงไปจนสุดทางแล้วนั้น ก็คือการที่ผู้บริหารทำ จังหวะที่ 2 ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว 


* * * จากนั้น ก็ให้เริ่มผ่อน ที่จับ - Handle ให้กลับไปอยู่ที่เดิม พร้อมกับ "เริ่ม-หายใจเข้า"


* * * เมื่อ ที่จับ - Handle กลับมาอยู่ใน จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แล้ว ( ซึ่งก็คือการกลับมาอยู่ใน "ท่าเตรียม" นั่นเอง ) เราจะ "หายใจเข้า" เต็มปอดพอดี

       ในตอนนี้เอง ( คืออยู่ใน จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แล้ว ) ให้นับว่า "1" ( ซึ่งหมายถึง Rep ที่ 1 )


* * * ทำซ้ำ - คือเคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 1 ไป จังหวะที่ 2 อีกครั้ง  /  จากนั้นก็เคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 2 กลับมา จังหวะที่ 1 อีกครั้ง

       และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของ จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งแล้ว ก็ให้นับว่า "2" ( ซึ่งหมายถึง Reps ที่ 2 ) 


* * * ให้ทำซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งครบจำนวน Reps ที่คุณกำหนดไว้สำหรับกล้ามปีก ด้านซ้าย 

       เช่น คุณกำหนดไว้ว่าในเซทนี้จะบริหารกล้ามปีก ด้านซ้าย ให้ได้ 8 Reps  /  แล้วพอคุณนับในตอนที่คุณกลับมาอยู่ที่ จังหวะที่ 1 ได้ว่า "8" เมื่อไร นั่นก็คือการที่คุณทำจนครบตามที่กำหนดไว้สำหรับ กล้ามปีก ด้านซ้าย แล้ว


* * * เมื่อคุณนับการกลับมาอยู่ที่ จังหวะที่ 1 ได้ว่า "8" เมื่อไร ( ซึ่งแปลว่าคุณทำครบตามจำนวน Reps ที่คุณกำหนดไว้สำหรับการบริหารกล้ามปีก ด้านซ้าย แล้ว )  ก็ให้คุณเปลี่ยนไปบริหารกล้ามปีก ด้านขวา ( ซึ่งจะอยู่ในขั้นตอนต่อไป ) ทันที-โดยไม่มีการพัก-ระหว่างที่เปลี่ยนไปทำขั้นตอนถัดไป ( ขั้นตอนถัดไป ดูที่ข้างล่างนี้ .... ) 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ขั้นตอนถัดไป คือการบริหารกล้ามปีก ด้านขวา

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

* * * เอามือข้างขวาจับตรงที่ ที่จับ - Handle ของอุปกรณ์  /  ส่วนมือซ้าย จะเอาไปวางไว้ที่ไหนก็ได้ คือจะเอามือซ้ายไปวางไว้ที่หน้าตักซ้ายของผู้บริหารก็ได้ หรือจะจับไว้ตรงที่ ที่จับ - Handle ของอุปกรณ์ ( ด้านซ้าย ) ก็ได้ 


* * * ส่วนลำตัวท่อนบน ก็ยังคงนาบไปกับ เบาะอันที่ 2 เหมือนเดิม แล้วปรับท่านั่งให้มั่นคง ไม่โยกซ้าย โยกขวา


* * * เมื่อพร้อมแล้ว คืออยู่ในท่าทางที่พูดมานี้ ( ซึ่งก็คือการอยู่ใน จังหวะที่ 1 นั่นเอง ) ก็ให้ผู้บริหาร "ออกแรงไปที่ กล้าม Lat ด้านขวา" แล้วเริ่มดึง ที่จับ - Handle เข้าหาลำตัวท่อนบน


ข้อสังเกตุ - ให้ทำความรู้สึกว่า "ไม่ได้ ออกแรง" ไปที่กล้ามไบเซบข้างขวา เลยนะครับ  /  ให้ทำความรู้สึกว่ามือขวาที่กำลังจับ ที่จับ - Handle อยู่นั้น เป็นแค่ ตะขอ ( Hook ) ที่ใช้เกี่ยว ที่จับ - Handle เพื่อจะดึงเข้าหาตัวเท่านั้น

       เราจะต้องทำความรู้สึกว่า การดึง ที่จับ - Handle เข้าหาตัวในครั้งนี้ เป็นพละกำลังที่เราส่งไปที่ กล้าม Lat ด้านขวา เพียงส่วนเดียวเท่านั้น

       พละกำลังที่เราส่งไปที่ กล้าม Lat ด้านขวา นั้น คือแรงที่เราใช้ในการ "ออกแรงต้าน" กับความต้านทานของอุปกรณ์ ( คำว่า-ความต้านทานของอุปกรณ์-ที่พูดถึงนี้นัี้น ก็มาจากปริมาณน้ำหนักของ "แผ่นน้ำหนัก" ที่เราใส่ไปที่ตัวอุปกรณ์นั่นเอง ) 

       ทันทีที่เราเริ่มใช้มือขวา ดึง ที่จับ - Handle เข้าหาร่างกายท่อนบนนั้น ก็ให้ "เริ่ม-หายใจออก"


* * * ดึง ที่จับ - Handle ด้านขวาอันนั้น "ผ่าน" เอวทางด้านขวาของเรา

       ที่สำคัญคือ ณ.ตอนนี้ เราต้อง "กด" หน้าอกแนบไปกับ เบาะอันที่ 2 ให้มั่นคง  /  ที่ต้องเน้นเรื่องนี้ก็เพราะว่า ถ้าเราไม่กดหน้าอกแนบไปกับตัวเบาะล่ะก็ มันจะเกิดการเอี้ยวตัวไปทางด้านขวาโดยอัตโนมัติ  /  ซึ่งการเอี้ยวตัวไปทางด้านขวาโดยอัตโนมัตินั้น เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ร่างกายทำให้เกิดขึ้นมา เพื่อช่วยในการดึง ที่จับ - Handle "ผ่าน" เอวด้านขวาของเรา

       ซึ่งปฏิกิริยาอัตโนมัติ ( ของร่างกายเรา ) ที่มีการเอี้ยวตัวไปทางด้านขวาที่ว่านี้ ก็คือการทำให้ "เอว" เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแรง ( อย่าลืมว่า เราจะต้องพยายามใช้แรงจาก กล้าม Lat ด้านขวา ในการบริหารท่านี้ เป็นกล้ามเนื้อพียงส่วนเดียวเท่านั้น  /  เราจะพยายามไม่ใช้แรงจากกล้ามเนื้อส่วนอื่น ( เช่นจาก "เอว" ) เข้ามาช่วยออกแรง )  


* * * ใช้มือขวานั้น ดึง ที่จับ - Handle ด้านขวาอันนั้น ดึงไปจนสุดทาง คือไม่สามารถจะดึงมือขวา ( ที่กำลังจับ ที่จับ - Handle ) ไปได้มากกว่านั้นอีกแล้ว ( อย่าลืมว่า เรากำลัง "กด" หน้าอกแนบไปกับ เบาะอันที่ 2 อยู่ )

       ในจังหวะที่ดึง ที่จับ - Handle ด้านขวาอันนั้น ดึงไปจนสุดทางแล้วนั้น ผู้บริหารก็จะ "หายใจออก" หมดปอดพอดี 

       ในจังหวะที่ดึง ที่จับ - Handle ด้านขวาอันนั้น ดึงไปจนสุดทางแล้วนั้น ก็คือการที่ผู้บริหารทำ จังหวะที่ 2 ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว 


* * * จากนั้น ก็ให้เริ่มผ่อน ที่จับ - Handle ให้กลับไปอยู่ที่เดิม พร้อมกับ "เริ่ม-หายใจเข้า"


* * * เมื่อ ที่จับ - Handle กลับมาอยู่ใน จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แล้ว เราจะ "หายใจเข้า" เต็มปอดพอดี

       ในตอนนี้เอง ( คืออยู่ใน จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แล้ว ) ให้นับว่า "1" ( ซึ่งหมายถึง Rep ที่ 1 )


* * * ทำซ้ำ - คือเคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 1 ไป จังหวะที่ 2 อีกครั้ง  /  จากนั้นก็เคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 2 กลับมา จังหวะที่ 1 อีกครั้ง

       และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของ จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งแล้ว ก็ให้นับว่า "2" ( ซึ่งหมายถึง Reps ที่ 2 ) 


* * * ให้ทำซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งครบจำนวน Reps ที่คุณกำหนดไว้สำหรับกล้ามปีก ด้านขวา 

       เช่น คุณกำหนดไว้ว่าในเซทนี้จะบริหารกล้ามปีก ด้านขวา ให้ได้ 8 Reps  /  แล้วพอคุณนับในตอนที่คุณกลับมาอยู่ที่ จังหวะที่ 1 ได้ว่า "8" เมื่อไร นั่นก็คือการที่คุณทำจนครบตามที่กำหนดไว้สำหรับ กล้ามปีก ด้านขวา แล้ว


เน้นย้ำ
 -
 ทั้ง จำนวน Reps และ แผ่นน้ำหนักที่ใช้บริหาร สำหรับการบริหาร กล้ามปีก ด้านซ้าย และ กล้ามปีก ด้านขวา จะต้อง "เท่ากันทุกอย่าง" 

       "ห้ามคิด" ว่า กล้ามปีก ด้านซ้าย ยังไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเวลาบริหาร กล้ามปีก ด้านซ้าย ก็ควรใช้แผ่นน้ำหนักที่หนักมากกว่า หรือบริหารด้วย จำนวน Reps ที่มากกว่าอีกข้างหนึ่งในการบริหาร โดยคิดเอาเอง ( ซึ่งผิด ) ว่ากล้ามปีก ด้านซ้าย จะได้โตทันกล้ามปีก ด้านขวา 

       ขอเน้นย้ำอีกครั้งนะครับว่้าทั้ง จำนวน Reps และ แผ่นน้ำหนักที่ใช้บริหาร สำหรับการบริหาร กล้ามปีก ด้านซ้าย และ กล้ามปีก ด้านขวา จะต้อง "เท่ากันทุกอย่าง"


* * * เมื่อคุณนับในตอนที่คุณกลับมาอยู่ที่ จังหวะที่ 1 ได้ว่า "8" เมื่อไร ก็แสดงว่าคุณบริหาร จบเซท แล้ว


* * * หลังจากบริหารจน จบเซท เรียบร้อยแล้ว ก็ให้คุณ พักเซท เป็นเวลา 2 นาที แล้วถึงกลับมาบริหารในเซทถัดไปครับ


* * * การบริหารในเซทถัดไปที่ว่านี้ ก็ให้เริ่มเหมือนเดิม คือให้เริ่มบริหารด้วย กล้ามปีก ด้านซ้าย ก่อน ( ซึ่งก็คือการย้อนกลับไปอ่านตอนต้นของหน้าเว็บนี้อีกครั้งนั่นเอง )  


- END -

Tuesday, April 20, 2021

Outer Back - Right Side

 

Outer Back - Right Side

กล้ามหลังส่วนนอก - ด้านขวา

      กล้ามเนื้อ แลทิสสิมัส ดอซี่ - Latissimus Dorsi เป็นกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่าง คลอบคลุมบริเวณเอว และมุมด้านล่างของสะบัก มีลักษณะเป็นแผ่นกว้างรูปพัดสามเหลี่ยม มีจุดเกาะอยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนล่างและปลายอีกด้านหนึ่งอยู่ที่บริเวณหัวไหล่ ทำหน้าที่ดึงแขนลงเข้าหาลำตัว และหมุนแขนเข้าด้านใน


- END -



Outer Back - Left Side

 

Outer Back - Left Side

กล้ามหลังส่วนนอก - ด้านซ้าย

       กล้ามเนื้อ แลทิสสิมัส ดอซี่ - Latissimus Dorsi เป็นกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่าง คลอบคลุมบริเวณเอว และมุมด้านล่างของสะบัก มีลักษณะเป็นแผ่นกว้างรูปพัดสามเหลี่ยม มีจุดเกาะอยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนล่างและปลายอีกด้านหนึ่งอยู่ที่บริเวณหัวไหล่ ทำหน้าที่ดึงแขนลงเข้าหาลำตัว และหมุนแขนเข้าด้านใน  


- END -

Thursday, April 15, 2021

Bent arm lateral raises with dumbbells

 

Bent arm lateral raises with dumbbells 



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ท่าเตรียม

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ท่าเตรียม

* * * ใช้มือทั้งสองข้าง ถือดัมเบลล์ไว้ข้างละ 1 ลูก


* * * งอแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นมาจนกระทั่งแขนท่อนปลายทั้ง 2 ข้างขนานกับพื้น  และให้ต้นแขน ( ทั้ง 2 ข้าง ) กับแขนท่อนปลาย ( ทั้ง 2 ข้าง ) อยู่ในลักษณะที่ตั้งฉากกัน


* * * "หนีบ" ข้อศอกทั้ง 2 ข้างในแนบกับลำตัว 



* * * "ล็อก" ช่วงหัวไหล่จนถึงมือ - ของแขนแต่ละข้าง - ทั้ง 2 ข้าง ให้อยู่ในลักษณะนี้ - ตลอดเวลาที่บริหารท่านี้อยู่  /  คือหมายความว่า ให้แขนทังสองข้าง อยู่ในลักษณะงอแขนแบบนี้ไปตลอด ( คือ ต้นแขนกับแขนท่อนปลาย ( ของแต่ละข้าง ) อยู่ในลักษณะที่ตั้งฉากกันไปตลอดเวลาที่บริหารท่านี้อยู่ )


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

เริ่มบริหารจริง

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

* * * จากการที่เราอยู่ในท่าเตรียม ( ซึ่งก็จะเป็นท่าเดียวกันกับ จังหวะที่ 1 ) ก็ให้ผู้บริหาร "เกร็งกล้ามหัวไหล่" แล้วเริ่มยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน

       แขนซ้ายยกขึ้นทางด้านซ้าย , แขนขวายกขึ้นทางด้านขวา 

       และอย่าลืมว่า เรากำลัง "ล็อก" ช่วงหัวไหล่จนถึงมือ - ของแขนแต่ละข้าง - ทั้ง 2 ข้าง ให้อยู่ในลักษณะที่ ต้นแขนกับแขนท่อนปลาย ( ของแต่ละข้าง ) อยู่ในลักษณะที่ตั้งฉากกัน

       ทันทีที่เราเริ่มยกแขนทั้งสองข้างขึ้นนั้น ก็ให้ "เริ่ม-หายใจเข้า


* * * ให้ยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้น จนกระทั่งต้นแขนทั้ง 2 ข้างนั้น "ขนาน" กับพื้น

       ในจังหวะที่ต้นแขนทั้ง 2 ข้าง "ขนาน" กับพื้นนั้น ผู้บริหารก็จะ "หายใจเข้า" เต็มปอดพอดี 

       ในจังหวะที่ต้นแขนทั้ง 2 ข้าง "ขนาน" กับพื้นนั้น ก็คือการที่ผู้บริหาร ทำ จังหวะที่ 2 ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว 


* * * จากนั้น ก็ให้เริ่มลดระดับแขนลง ( ขอย้ำอีกครั้งว่า เรายังคง "ล็อก" ช่วงหัวไหล่จนถึงมือ - ของแขนแต่ละข้าง - ทั้ง 2 ข้าง ให้อยู่ในลักษณะที่ ต้นแขนกับแขนท่อนปลาย ( ของแต่ละข้าง ) อยู่ในลักษณะที่ตั้งฉากกัน )

       เมื่อเริ่มลดระดับแขนลง ก็ให้ "เริ่ม-หายใจออก


* * * เมื่อแขนทั้งสองกลับมาอยู่ใน จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แล้ว ( ซึ่งก็คือการกลับมาอยู่ใน "ท่าเตรียม" นั่นเอง ) เราจะ "หายใจเข้า" เต็มปอดพอดี 

       ในตอนนี้เอง ( คืออยู่ใน จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แล้ว ) ให้นับว่า "1" ( ซึ่งหมายถึง Rep ที่ 1 )


* * * ทำซ้ำ - คือเคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 1 ไป จังหวะที่ 2 อีกครั้ง  /  จากนั้นก็เคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 2 กลับมา จังหวะที่ 1 อีกครั้ง

และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของ จังหวะที่ 1 โดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งแล้ว ก็ให้นับว่า "2" ( ซึ่งหมายถึง Reps ที่ 2 ) 


* * * ให้ทำซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง จบเซท  /  คำว่า จบเซท หมายถึงการที่คุณทำครบตามจำนวน Reps ที่คุณกำหนดไว้ในเซทนี้แล้ว 

       เช่น คุณกำหนดไว้ว่าในเซทนี้จะทำให้ได้ 8 Reps  /  แล้วพอคุณนับในตอนที่คุณกลับมาอยู่ที่ จังหวะที่ 1 ได้ว่า "8" เมื่อไร นั่นก็คือการที่คุณทำจน จบเซท แล้วนั่นเอง ( คือคุณทำครบ 8 Reps ตามที่กำหนดไว้แล้ว ) 


* * * หลังจากบริหารจน จบเซท เรียบร้อยแล้ว ก็ให้คุณ พักเซท เป็นเวลา 2 นาที แล้วถึงกลับมาบริหารในเซทถัดไปครับ 

-END-


Push up on parallel bars

 

Push up on parallel bars

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ท่าเตรียม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -        


ท่าเตรียม

* * * ขึ้นไปอยู่บนบาร์คู่ โดยให้มือทั้ง 2 ข้างจับอยู่ที่ตัวบาร์ และเท้าทั้ง 2 ข้าง อยู่บนตัวบาร์


* * * ผมจะแยกเรียกกันว่าเป็น "บาร์ด้านซ้ายมือ" กับ "บาร์ด้านขวามือ" โดยมีหลักการเรียกดังนี้คือ

       เมื่อเราก้มหน้าในขณะที่อยู่บนตัวบาร์นั้น ( เหมือนที่เห็นในภาพข้างบนนี้ ) ตัวบาร์ที่อยู่ด้านซ้ายของผู้บริหาร ผมจะเรียกว่า "บาร์ด้านซ้ายมือ"

       
ส่วนบาร์ที่อยู่ด้านขวามือ ผมก็จะเรียกว่า "บาร์ด้านขวามือ"


* * * เอามือข้างซ้าย จับที่ "บาร์ด้านซ้ายมือ"  /  เอามือข้างขวา จับที่ "บาร์ด้านขวามือ" 

       เอาปลายเท้าข้างซ้าย วางไว้ที่ "บาร์ด้านซ้ายมือ"  /  เอาปลายเท้าข้างขวา วางไว้ที่ "บาร์ด้านขวามือ" 


* * * เหยียดแขนซ้ายและขวาให้ตึงจนสุด


* * * ให้กระดูกสันหลัง , บั้นเอว , ก้น และ ขา เป็นแนวเส้นตรงเดียวกัน 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

เริ่มบริหารจริง

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -        

* * * จากการที่เราอยู่ในท่าเตรียม ( ซึ่งก็จะเป็นท่าเดียวกันกับ จังหวะที่ 1 )  ก็ให้ผู้บริหาร "เกร็งกล้ามหน้าอก" และเริ่ม งอ แขนทั้งสองข้าง

       การ งอ แขนทั้งสองข้าง ก็คือการลดระดับช่วง "ลำตัวท่อนบน" ลงไป ( แต่ยังคงต้องบังคับตัวเองให้ กระดูกสันหลัง , บั้นเอว , ก้น และ ขา เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันอยู่ )

       ระหว่างที่กำลังเริ่มลดระดับ "ลำตัวท่อนบน" ลงนั้น ก็ให้ "เริ่ม-หายใจเข้า


* * * เมื่อลดระดับ "ลำตัวท่อนบน" ลงจนถึงระดับต่ำสุด ( คืออยู่ใน จังหวะที่ 2 อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ) ก็จะ "หายใจเข้า" เต็มปอดพอดี

       และต้องไม่ลืมว่า ในขณะนี้ ( คือในขณะที่ยังอยู่ใน จังหวะที่ 2 อยู่นี้ ) เรายังคงต้องบังคับตัวเองให้ กระดูกสันหลัง , บั้นเอว , ก้น และ ขา เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันอยู่เหมือนเดิม 


* * * จากนั้น ให้เกร็งกล้ามหน้าอกอีกครั้ง แล้วออกแรงไปที่แขนทั้ง 2 ข้าง ( ออกแรงไปที่กล้ามไทรเซบ ) ทำการเริ่มเหยียดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้น

       การเริ่มเหยียดแขนทั้ง 2 ข้างขึ้น ก็คือการยกระดับของ "ลำตัวท่อนบน"ขึ้นด้วย ( ต้องไม่ลืมว่า เรายังคงต้องบังคับตัวเองให้ กระดูกสันหลัง , บั้นเอว , ก้น และ ขา เป็นแนวเส้นตรงเดียวกันอยู่เหมือนเดิม )

       ระหว่างที่กำลังเริ่มยกระดับ "ลำตัวท่อนบน" ขึ้นนั้น ก็ให้ "เริ่ม-หายใจออก


* * * เมื่อเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นจนสุดแล้ว ( คืออยู่ใน จังหวะที่ 1 อย่างสมบูรณ์แล้ว ) ก็จะ "หายใจออก" หมดปอดพอดี

       ในตอนนี้เอง ( คืออยู่ใน จังหวะที่ 1 อย่างสมบูรณ์แล้ว ) ให้นับว่า "1" ( ซึ่งหมายถึง Rep ที่ 1 )


* * * ทำซ้ำ - คือเคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 1 ไป จังหวะที่ 2 อีกครั้ง  /  จากนั้นก็เคลื่อนตัวจาก จังหวะที่ 2 กลับมา จังหวะที่ 1 อีกครั้ง

       และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของ จังหวะที่ 1 
โดยสมบูรณ์แบบอีกครั้งแล้ว ก็ให้นับว่า "2" ( ซึ่งหมายถึง Rep ที่ 2 ) 


* * * ให้ทำซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง จบเซท  /  คำว่า จบเซท หมายถึงการที่คุณทำครบตามจำนวน Reps ที่คุณกำหนดไว้ในเซทนี้แล้ว

       เช่น คุณกำหนดไว้ว่าในเซทนี้จะทำให้ได้ 8 Reps  /  แล้วพอคุณนับในตอนที่คุณกลับมาอยู่ที่ จังหวะที่ 1 ได้ว่า "8" เมื่อไร นั่นก็คือการที่คุณทำจน จบเซท แล้วนั่นเอง ( คือคุณทำครบ 8 Reps ตามที่กำหนดไว้แล้ว )


* * * หลังจากบริหารจน จบเซท เรียบร้อยแล้ว ก็ให้คุณ พักเซทเป็นเวลา 2 นาที แล้วถึงกลับมาบริหารในเซทต่อไปครับ 

- END - 

Sunday, April 11, 2021

Quadriceps femoris

 

Quadriceps femoris

ควอดริเซ็บ ฟีเมอริส

      กล้ามเนื้อกลุ่มควอดริเซ็บ ฟีเมอริส ( Quadriceps femoris muscle , ภาษาลาตินแปลว่า กล้ามเนื้อสี่หัวของกระดูกต้นขา "four headed muscle of the femur") , มีชื่อเรียกสั้นๆว่า ควอดริเซ็บ ( quadriceps ) หรือ ควอดส ( quads ) 

       ควอดริเซ็บ ฟีเมอริส เป็นกลุ่มกล้ามเนื่อขนาดใหญ่รวมกันสี่กล้ามเนื้อ อยู่ด้านหน้าของต้นขา กล้ามเนื้อกลุ่มนี้ถูกใช้ในการเหยียดขาตรง หรือยืดขา ( extensor of the knee ) กลุ่มกล้ามเนื้อนี้ครอบคลุมอยู่ทางด้านหน้า และด้านข้างของกระดูกต้นขา ( femur ) 


โครงสร้าง

แบ่งเป็นสี่กล้ามเนื้อย่อย

1.เรกตัส ฟีเมอร์ริส ( rectus femoris ) - อยู่ตรงกลางของต้นขา ครอบคลุมกล้ามเนื้อควอดริเซ็บที่เหลือทั้งหมด มีจุดเริ่มต้นจากกระดูกิเลียม และยาวเป็นแนวตรงไปยึดเกาะกับลูกสะบ้าของหัวเข่า


2.วาสตัส แลเธอรัลลิส ( vastus lateralis ) - อยู่ทางด้านข้างส่วนนอก ( lateral ) ของกระดูกฟีเมอร์ 


3.วาสตัส มีดีแอลิส ( vastus medialis ) - อยู่ทางด้านข้างส่วนใน ( medial ) ของกระดูกฟีเมอร์ 


4.วาสตัส อินเทอร์มีเดียส ( vastus intermedius ) - อยู่ตรงกลางระหว่าง วาสตัส แลเธอรัลลิส และ วาสตัส มีเดียส ทางด้านหน้าของกระดูกต้นขา แต่อยู่ลึกหลังกล้ามเนื้อ เรกตัส ฟีเมอริส โดยปกติแล้วจะมองไม่เห็นถ้าไม่ผ่าตัดเอาเรกตัส ฟีเมอร์ริสออก


       กล้ามเนื้อทั้งสี่นั้นมีจุดยึดอยู่ที่หัวหน่อของกระดูกแข้ง ( tibial tuberosity ) โดยรวมกันเป็นเส้นเอ็นยึดกล้ามเนื้อควอดริเซ็บ ( quadriceps tendon ) ผ่านกระดูสะบ้าของหัวเข่า จนกลายมาเป็น เส้นเอ็นกระดูสะบ้าของหัวเข่า ( patellar ligament ) จนมายึดกับกระดูกแข้ง


เส้นประสาทควบคุมการทำงาน 

       ควบคุมโดย เส้นประสาทฟีเมอรัล ( femoral nerve ) จาก L1 , L2 , L3 , L4 


หน้าที่ 

       มีส่วนช่วยในการเดิน , วิ่ง , กระโดด , และย่อหัวเข่า กล้ามเนื้อเรกตัส ฟีเมอร์ริส ยังมีส่วนช่วยในการงอเอว ( hip flexion ) 

       กล้ามเนื้อวาสตัส มีเดียส มีส่วนสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับกระดูสะบ้าของหัวเข่าระหว่างการย่างก้าวเพื่อการเดิน  


- END -




Deadlift ( Weightlifting )

 

Deadlift ( Weightlifting )

      ท่า Deadlift หมายถึงการออกกำลังกายด้วยการยกบาร์เบลล์ที่ใส่แผ่นน้ำหนักไว้แล้ว ขึ้นจากพื้น  /  โดยยกบาร์เบลล์ขึ้นมาจนถึงระดับสะโพก , ร่างกายท่อนบนให้ตั้งฉากกับพื้น  /  หลังจากนั้น ก็วางบาร์เบลล์กลับไปที่เดิม

       ท่า Deadlift เป็นหนึ่งในสามท่าของกีฬา Powerlifting ( สามท่าของกีฬา Powerlifting คือท่า Squat , ท่า Bench Press และท่า Deadlift ) 

ภาพรวม 

       Deadlift เป็นการยกน้ำหนักที่วางอยู่กับพื้นขึ้นมา โดยวิธีการยกนั้น จะยกขึ้นด้วยพละกำลังเพียวๆ ไม่ใช้โมเมนตัมเข้าช่วยแต่อย่างไร ( และเพราะการไม่ใช้โมเมนตัมนี่เอง น้ำหนักที่ยกนี้ จึงเป็น Dead Weight  /  และเมื่อเป็น Dead Weight ก็เลยทำให้การยก Weight นี้ ( ที่เป็น Dead Weight ) ก็เลยถูกเรียกกว่า Deadlft )

       รูปแบบของการทำ Deadlift ก็คือการออกกำลังที่จะมีจังหวะที่ยกลูกน้ำหนัก ( หมายถึงบาร์เบลล์ ) ขึ้น และจังหวะที่ลดลูกน้ำหนักลง

       เมื่อพูดถึงคำศัพท์ว่า Deadlift นั้น จะมีความหลากหลาย ไม่ได้ตายตัวว่าถ้าพูดว่า Deadlift จะต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น แต่อย่างใด  /  ยกตัวอย่างเช่น การทำท่า Sumo Deadlift ก็จะถือว่าเป็น Deadlift ท่าหนึ่ง

       แม้ว่าการออกกำลังกายท่านี้ จะใช้ "ขา" และ "สะโพก" เป็นตัวขับเคลื่อนเป็นหลัก แต่ท่านี้ ก็ถือว่าเป็นท่าสำหรับการบริหาร "กล้ามหลังส่วนล่าง" ท่าหนึ่ง 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ท่าทางในการบริหารท่านี้

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -        

       ท่า Deadlift แบบมาตรฐานดั้งเดิมนั้ัน จะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆด้วยกัน คือ ส่วนที่ 1 - การจัดท่าทาง , ส่วนที่ 2 การดึงน้ำหนักขึ้น , ส่วนที่ 3 การตรึงร่างกายให้อยู่กับที่  


ส่วนที่ 1 - การจัดท่าทาง 

       ( ภาพบน ) เมื่อทำท่า Deadlift นั้น ผู้ยกจะต้องเกร็งกล้ามเนื้อไปที่

* * * Gluteus maximus - กลูเตียสแม็กซิมัส - กล้ามเนื้อส่วนสะโพกและก้นกบ  

* * * Gluteus minimus - กลูเตียสมินิมัส - กล้ามเนื้อส่วนสะโพก

* * * Biceps Femoris - ไบเซพส์ ฟีมอริส - กล้ามต้นขาด้านหลังหัวนอก

* * * Semitendinosus - เซมิเทนดิโนซัส - กล้ามต้นขาด้านหลังหัวใน

* * * Semimembranosus - เซมิเมมเบรโนซัส - กล้ามต้นขาด้านหลังหัวกลาง 


       จากนั้น ก็ทำให้กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว ( Lumbar ) เป็น "แนวตรง" กับกระดูกสันหลัง ( Spine ) โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้กระดูกสันหลังมีความเสถียร ( เพื่อพร้อมที่จะทำท่า Deadlift นี้ )

       - ให้อยู่ด้านหลังบาร์ โดบบาร์เบลล์อยู่ใกล้ๆ "เกือบ" สัมผัสกับหน้าแข้งของเรา


       - มือทั้งสองข้างที่จับบาร์เบลล์อยู่นั้น ให้จับอยู่ด้านนอกของขา ตลอดเวลาที่ทำท่านี้


       - เกร็งไปที่ สะโพกและหัวเข่า และให้มีความรู้สึกว่าน้ำหนักทั้งหมดกดลงไปที่ส้นเท้า  ( แต่เท้าก็ยังวางแบนราบไปกับพื้น เต็มทั้งฝ่าเท้า ) 


       - รักษาแนวกระดูกสันหลังให้ตรง  /  ระวังอย่าให้หัวเข่าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าจนเลยนิ้วเท้า 

ส่วนที่ 2 - การเคลื่อนที่ในขณะที่ทำท่า Deadlift  

       ( ภาพบน ) หลังจากจัดท่าทาง ( ในส่วนที่ 1 ) เรียบร้อยแล้ว ในส่วนถัดไปก็คือการใช้พละกำลังทั้งหมด "กดส้นเท้า" ลงไปที่พื้นพร้อมทั้งดันสะโพกไปข้างหน้า แต่ต้องรักษาแนวกระดูกสันหลังให้ตรงอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการรักษาปลอดภัยให้ตัวเองในขณะที่เริ่มยกบาร์ขึ้นจากพื้น ไม่ทำตัวเองให้บาดเจ็บ ซึ่งถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และยากที่สุดของการทำท่า Deadlft นี้  ( หมายถึง การทำตัวเองให้ปลอดภัย ด้วยการรักษาแนวของกระดูกสันหลังให้ตรง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และยากที่สุด ทันทีที่เริ่มยกบาร์ขึ้นจากพื้น )

* * * ก่อนจะเริ่มยกบาร์เบลล์ขึ้นจากพื้นนั้น ให้หายใจเข้าให้ลึกๆแล้ว "กลั้น" ลมหายใจไว้ จนกระทั่งยกบาร์เบลล์ขึ้นมายืนตรงได้สำเร็จ


* * * เกร็งกล้ามเนื้อหลังไว้ให้ "แน่น" ตลอดการเคลื่อนที่ เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับหลัง


* * * ยกบาร์ขึ้นจากพื้นพร้อมกับดัน Hip ไปด้านหน้า จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นจนยืนกระทั่งยืนตรง



ส่วนที่ 3 - ล็อคร่างกายให้อยู่กับที่ 

       การจบท่า Deadlft ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมาก  /  การจบท่า Deadlift คือ การใช้พละกำลัง ดัน Hip ไปด้านหน้า จนกระทั่ง กระดูกสันหลัง ตั้งฉากกับพื้น โดยมี กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว ( Lumbar ) และกล้ามท้อง และ กลูเตียส ( Glutes ) อยู่ในแนวเดียวกันนั้นด้วย ( คือทั้งหมดที่พูดมานี้ จะต้องอยู่ในแนวตั้งฉากกับพื้นด้วย ) 

* * * การเคลื่อนที่ในขณะทำท่านี้ หลักๆคือการดัน Hip เข้าหาบาร์เบลล์


* * * การเกร็งกล้าม กลูเตียส ( Glutes ) และ กล้ามท้อง ( Rectus Abdominis ) ตลอดเวลาที่กำลังเคลื่อนที่ในท่านี้อยู่ จะทำให้ หลังส่วนล่าง ได้รับการป้องกัน ( คือทำให้หลังส่วนล่าง ไม่ได้รับบาดเจ็บ )



การวางบาร์เบลล์กลับลงไปที่พื้น

       การวางบาร์เบลล์ลงกับพื้น ให้ทำ "ย้อนกลับ" กับการเคลื่อนที่ ที่เรายกบาร์เบลล์ขึ้น ( คือมีรายละเอียดของการเคลื่อนที่ , การเกร็งกล้ามเนื้อทุกอย่างเหมือนกัน เพียงแต่กลับจังหวะกันเท่านั้น )

       และถึงแม้จะเป็นการวางบาร์เบลล์ลงกับพื้น แต่เราก็ต้องระมัดระวังในการเรื่องการเกร็งกล้ามเนื้อต่างๆด้วย ( คือให้เกร็งกล้ามเนื้อ เหมือนกับการที่กำลังยกบาร์เบลล์ขึ้นจากพื้น )

       ลดระดับหน้าอกลง ( คือก้มตัวลงไปทางด้านหน้า ) 
พร้อมกับพยายามให้บาร์เบลล์อยู่ใกล้กับหัวเข่าให้มากที่สุดตลอดเวลาที่กำลังก้มตัวลง จะเป็นท่าที่ปลอดภัยที่สุด 

- END -