Friday, May 14, 2021

Blend of Protein

 

Blend of Protein

หรือ Blend Protein


ความสำคัญของ Protein Blend 


       เนื่องจากเวย์โปรตีน หรืออาหารเสริมโปรตีนอื่นๆที่เป็นแบบผงแห้งๆ ที่มีขายในท้องตลาด ไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนกันหมด เหตุผลก็เพราะว่า ผู้ซื้อที่มาซื้ออาหารเสริมโปรตีนไปใช้นั้น มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน

       ด้วยเหตุผลนี้ อาหารเสริมโปรตีนแบบผงแห้งๆ จึงผลิตออกมาหลายหลายรูปแบบ หลายคุณสมบัติ

       และก็ด้วยเหตุผลที่ อาหารเสริมโปรตีนแบบผงแห้งๆ ผลิตออกมาหลายหลายรูปแบบ หลายคุณสมบัติ นี้เอง จึงทำให้เราไม่ได้ทุกอย่างที่ต้องการในอาหารเสริมโปรตีนเพียงขวดเดียว  ยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้ 


อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A - คือเวย์โปรตีนทั่วไป จะมี มีสัดส่วนของ ลิวซีน - Leucine "มาก" เป็นพิเศษ

* * * ลักษณะพิเศษของ ลิวซีน - Leucine  คือ มันจะถูกย่อยภายใน 30 นาที เท่านั้น คือแค่ 30 นาที มันก็ถูกร่างกายนำมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว 


* * * ข้อดีของ อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A คือ มันจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวหลังการออกกำลังกายได้ดี เพราะร่างกายนำมันมาใช้ประโยชน์ได้ทันใจ ( คือ บริษัทผู้ผลิต เขาทำให้มันอยู่ในฟอร์มที่พร้อมใช้งานได้ทันใจ )


* * * แต่ข้อเสียคือ มันจะสลายตัวหมดไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะ อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A มันถูกผลิตออกมาให้ "ง่ายต่อการย่อย" เพื่อให้ร่างกายเอาไปใช้งานได้ทันใจ มันก็เลยถูกร่างกายย่อยจนหมดไปอย่างรวดเร็ว ( ด้วยคุณสมบัติที่ย่อยง่ายอันนั้น )  



อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง B - เป็นอาหารเสริมเสริมที่ทำจากไข่ขาว ( Egg white protein powder ) ซึ่งอาหารเสริมที่ทำจากไข่ขาวนี้ จะมี ลิวซีน - Leucine ที่ "น้อย" แต่จะมีสัดส่วนของอะมิโนชื่อ ฟีนิลอะลานีน - Phenylalanine  และ ซีสทีน - Cystine ที่ "มาก" เป็นพิเศษ 

* * * ลักษณะเฉพาะตัวของ  ฟีนิลอะลานีน - Phenylalanine  และ ซีสทีน - Cystine นั้นคือ มันจะถูกย่อยช้า


* * * ข้อดีคือ เมื่อเราจะทาน อาหารเสริม กระป๋อง B นี้ เราจะ "รู้สึกดี" คือรู้สึกอิ่มเกือบทั้งวัน อันเป็นผลมาจากการที่ ฟีนิลอะลานีน - Phenylalanine  และ ซีสทีน - Cystine มันค่อยๆปล่อยโปรตีนออกมาทีละน้อย อย่างช้าๆ แต่ติดต่อ ต่อเนื่องกันเกือบทั้งวัน ( เพราะลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของมัน - ที่ยากต่อการถูกย่อยนั่นเอง ) 


* * * แต่ข้อเเสียของ อาหารเสริม กระป๋อง B ก็คือ มัน "ไม่" ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วหลังออกกำลังกาย เพราะว่าร่างกาย "ไม่" สามารถย่อยมันเพื่อใช้งานได้ทันท่วงที  ( ต้องใช้เวลาย่อย... นาน )  /  ดังนั้น เราก็จะรู้สึกเพลียหลังออกกำลังกาย ในกรณีที่เราใช้ อาหารเสริม กระป๋อง B เพียงอย่างเดียว


       อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A ก็มีจุดประสงค์ในการใช้งานอย่างหนึ่ง ส่วน อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง B ก็มีจุดประสงค์ในการใช้งานอีกอย่างหนึ่ง

       บริษัทผู้ผลิต เขาจึงทำ อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A และ อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง B ขาย "แยกกัน" เพราะมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน  ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ซื้อว่าต้องการแบบไหน

       "เรา" ในฐานะของผู้ซื้อ ( เราไม่ใช่บริษัทผู้ผลิต ) จึงต้องมาพลิกแพลงเอง ด้วยการเอา อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A มาผสม ( มา Blend ) กับ อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง B ด้วยตัวเราเอง 


       เอา อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A มาผสม ( มา Blend ) กับ อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง B  ผลที่ได้ก็คือเราจะได้ผลรวมของอาหารเสริมโปรตีนที่มีข้อดีของทั้ง อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง A และ อาหารเสริมโปรตีน กระป๋อง B นั่นเอง


       การผสม ( Blend ) นั้น เราสามารถทำได้กับอาหารเสริมโปรตีนหลายๆแบบ  วิธีทำก็ง่ายๆ ก็แค่ตักใส่เครื่องปั่นรวมกัน ใส่น้ำหรือนม แล้วปั่น  /  จากนั้นก็เทใส่แก้ว แล้วรับประทานเลย หรือจะใส่เชคเกอร์เอาไว้ทานตอนออกกำลังกายเสร็จก็ได้

       ข้อแนะนำคือคุณควรจะฟังจากผู้เชี่ยวชาญก่อนว่า เอาอะไร ผสมกับอะไรได้บ้าง เช่นเอาเวย์โปรตีนปกติ ( Whey Protein ) ไปผสม ( Blend ) กับโปรตีนจากไข่ขาว ( Egg White Protein ) ตามตัวอย่างที่ให้ดูนี่ก็ได้ครับ

       หรือจะเอา เวย์โปรตีนปกติ ( Whey Protein ) ไปผสมกับ ( Blend ) คาเซอีนโปรตีน ( Casein Protein ) ก็ได้ครับ เป็นที่นิยมทำกันของพวกนักเพาะกาย 

- END -

Leucine

 

Leucine

ลิวซีน 
 


     ลิวซีน ( Leucine, Leu, L ) คือกรดอะมิโนชนิดหนึ่งซึ่งจัดเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ จึงต้องได้รับจากการรับประทานอาหาร มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคือ HO2CCH(NH2)CH2CH(CH3)2 

คุณสมบัติ

       ลิวซีนมีสูตรโมเลกุลคือ C6H13NO2 และมีความเป็นกรด ภายในโครงสร้างมีหมู่ฟังก์ชัน ( functional group ) ซึ่งประกอบด้วยหมู่อะมิโน 1 หมู่ และหมู่คาร์บอกซิลอีก 1 หมู่ มีมวลโมเลกุลเท่ากับ 131.17 g/mol 

แหล่งอาหาร

       อาหารที่พบกรดอะมิโนลิวซีนในปริมาณสูงได้แก่ ไข่ , ถั่วเหลือง , ปลา , สาหร่าย เป็นต้น ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสังเคราะห์ได้ แต่สำหรับพืช ลิวซีนสามารถสังเคราะห์ได้จา กรดไพรูวิค ( pyruvic acid ) 


ประโยชน์ 

       ลิวซีนมีประโยชน์ในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด , มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการการเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายอย่างเช่นกระดูก , ผิวหนัง และกล้ามเนื้อ

       นอกจากนี้ยังถูกใช้ในตับ , เนื้อเยื่อไขมัน ( adipose tissue ) , และเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้ออีกด้วย ในเนื้อเยื่อไขมันและกล้ามเนื้อ ลิวซีนจะมีการเปลี่ยนรูปไปเป็นสเตอรอล ( sterol ) 


กรดอะมิโนจำเป็นชนิดอื่น 

* * * วาลีน ( valine ) 


* * * ไลซีน ( lycine ) 


* * * ไอโซลิวซีน ( isoleucine ) 


* * * เมตไทโอนีน ( methionine ) 


* * * ฟีนิลอะลานีน ( phenylalanine ) 


* * * ทรีโอนีน ( threonine ) 


* * * ทริปโตแฟน ( tryptophan ) 


* * * ในเด็กมีเพิ่มอีก 2 ตัว ดังนี้

////////// ฮีสติดีน ( histidine ) 


////////// อาร์จินีน ( arginine )  


- END -

Thursday, May 13, 2021

Cystine

 

Cystine

ซีสทีน

       ซีสเทอีน ( Cysteine ) หรือ แอล-ซีสเทอีน ( L-Cysteine ) เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่เป็นสารตั้งต้นในการการสร้าง กลูต้าไธโอน ให้กับร่างกายโดยจะทำงานร่วมกันกับ ไกลซีน ( Glycine ) และ กรดกลูตามิก ( Glutamic acid ) ที่มีมากในของร่างกายเรา และสารที่จะสั่งให้เกิดการฟอร์มพันธะเป็นกลูต้าไธโอนได้นั้นคือ กลุ่มวิตามินซี หรือแคลเซียม แอสคอร์เบต ( Calcium Ascorbate ) ถูกสร้างขึ้นที่ตับ 

       ซีสทีน ( Cystine ) เป็นรูปที่เสถียรของซีสเทอีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบ

       ซีสทีน เป็นสารอาหารสำคัญสำหรับการชะลอวัย ร่างกายสามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ระหว่าง ซีสทีนและซีสเทอีน ทั้งสองรูปถือเป็นกรดอะมิโนเดี่ยวในกระบวนการเผาผลาญอาหาร

       เมื่อ ซีสทีน ถูกเผาผลาญแล้วจะได้ผลลัพธ์เป็นกรดซัลฟูริก ซึ่งจะไปทำปฏิกิริยากับสารอื่นๆ ช่วยในการขับสารพิษออกจากระบบต่างๆ ของร่างกาย ป้องกันร่างกายจากโลหะหนักที่เป็นอันตราย ทั้งยังช่วยกำจัดอนุมุลอิสระในร่างกายได้ดี

       ซีสทีน เป็นกรดอะมิโน ที่มีซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะใน ซีสทีน และ เมไทโอนีน จะช่วยป้องกันการเป็นพิษจากทองแดง ( Copper ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีทองแดงสะสมในกร่างกายมาก เป็นข้อบ่งชี้ว่าคุณเป็นโรควิลสัน ( Wilson’s disease ) , การสะสมทองแดงที่มากขึ้นจะเป็นพิษต่อไต สมอง และตา

       ซีสทีนและซีสเทอีน จะช่วยขัดขวางและปกป้องร่างกายของเราจากโลหะหนักที่เป็นอันตราย และทำหน้าที่กำจัดอนุอิสระ ให้กับร่างกายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

       นอกจากนี้ ยังช่วยในการสร้างเอ็นไซม์ต้านอนุมูลอิสระ โดยทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซี ซึ่งได้ร่วมกันซ่อมแซมสารพันธุกรรม ที่อาจเปลี่ยนแปลงการเป็นมะเร็งได้ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย

       แอล-ซีสเทอีน( L-Cysteine ) ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทซิเนส ( Tysinase ) ไม่ให้สามารถเปลี่ยนเป็นโดปาควินโนน  ( Dopaquinone ) ซึ่งมีผลทำให้สร้างเม็ดสีน้อยลง จึงทำให้มีผิวขาวขึ้นได้ มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เรียบเนียน เปล่งปลั่ง แก้ปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ


คุณประโยชน์ที่สำคัญของอะมิโน ซีสทีน ( Cystine ) และ ซีสเทอีน ( Cysteine ) 

       ซีสทีน ช่วยป้องกันผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยยาคีโมและการฉายรังสี ลดการสะสมของจุดด่างดำที่เกิดขึ้นตามวัย

       บำรุงผิว เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างโปรตีนเคราติน ( keratin ) ที่ใช้ในการสร้างผิว ผม เล็บให้มีสุขภาพดี ช่วยให้รากผมแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย

       การกำจัดพิษ ( Detoxification ) กลูตาไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ ( ละลายในน้ำมัน ) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย 

       ช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ ( สุรา ) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด ( Overdose ) 

       ต้านอนุมูลอิสระ ( Anti-Oxidant ) โดยส่งเสริมการสร้างกลูตาไธโอน ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดกลูตาไธโอน วิตามินซี และวิตามินอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่

       ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ( Immune Enhancer ) โดยซีสเทอีน จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส นอกจากนี้กลูตาไธโอน ยังช่วยสร้าง และซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีนและ protaglandin


ข้อควรระวัง : ไม่แนะนำให้ผู้ที่เป็นเบาหวานรับประทาน ซิสทีน หรือ ซีสเทอีน วิตามินซี และวิตามินบี1 ในปริมาณมาก และควรรับประทานภายใต้การดูแลจากแพทย์เท่านั้น ( การรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้ร่วมกัน อาจลดประสิทธิภาพของอินซูลินได้ )

       แหล่งที่พบกรดอะมิโน ซีสทีน หรือ ซีสเทอีน ในธรรมชาติ ร่างกายสามารถสังเคราะห์ ซีสเทอีน ( cysteine )​​จากกรดอะมิโนเมไธโอนีน และได้รับจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น สัตว์ปีก, ข้าวสาลี, บร๊อคโคลี่, ไข่, กระเทียม, หัวหอม, ผลมะเม่า และพริกแดง 
 

- END -

Cysteine

 

Cysteine

ซิสตีอีน

      ซิสตีอีน ( cysteine , ตัวย่อ Cys หรือ C )  เป็นกรดอะมิโนที่มีสูตรเคมี C3H7NO2S มีโซ่ข้างเป็นหมู่ไธออล ซึ่งเป็นสารประกอบออร์แกโนซัลเฟอร์ ซิสตีอีน มีโครงสร้างเหมือน ซีรีน แต่โซ่ข้างที่เป็นอะตอมออกซิเจนถูกแทนที่ด้วยกำมะถัน หากอะตอมกำมะถันถูกแทนที่ด้วยซีลีเนียมจะกลายเป็นซีลีโนซิสตีอีน ซิสตีอีนถูกเข้ารหัสในรหัสทางพันธุกรรมพื้นฐานเป็นโคดอน UGU และ UGC 

      ซิสตีอีน ถูกค้นพบทางอ้อมในปี ค.ศ. 1810 โดยวิลเลียม ไฮด์ วูลลาสตัน นักเคมีชาวอังกฤษและเรียกว่า ซิสติกออกไซด์ ( cystic oxide ) ต่อมาสารนี้รู้จักในชื่อ ซิสตีน ( cystine )  /  ซิสตีน เป็นสารที่เกิดจากโมเลกุลของ ซิสตีอีน สองตัวจับกันด้วยพันธะไดซัลไฟด์  วูลลาสตันสกัดสารนี้จากนิ่วไตจึงตั้งชื่อตามคำในภาษากรีกโบราณ κύστις ( kústis ) ที่แปลว่า กระเพาะปัสสาวะ  

       ชีวสังเคราะห์ของซิสตีอีนในสัตว์มาจาก ซิสตาไธโอนีน ซึ่งเกิดจากกรดอะมิโนซีรีน ได้รับอะตอมกำมะถันจากฮอโมซิสตีอีน กรดอะมิโนอีกชนิดที่กลายสภาพมาจากมีไธโอนีน จากนั้นซิสตาไธโอนีนจะถูกเอนไซม์ซิสตาไธโอนีนแกมมา-ไลเอสสลายกลายเป็นซิสตีอีนและกรดแอลฟา-คีโตบิวทีริก ขณะที่ในพืชและแบคทีเรียเริ่มต้นที่ซีรีนเช่นกัน โดยเปลี่ยนสภาพเป็น O-acetylserine ด้วยเอนไซม์ serine O-acetyltransferase หลังจากนั้น O-acetylserine จะจับกับอะตอมกำมะถันของไฮโดรเจนซัลไฟด์ และถูกเอนไซม์ซิสตีอีนซินเทสสลายกลายเป็นซิสตีอีนและปล่อยแอซิเตต

       โดยทั่วไปแล้ว ซิสตีอีน จัดเป็นกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย แต่บางครั้งจัดว่าจำเป็นต่อทารก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านเมตาบอลิซึมและการดูดซึมสารอาหารผิดปกติ  ซิสตีอีน พบในเนื้อสัตว์ ไข่ ผลิตภัณฑ์นมและถั่ว เป็นส่วนหนึ่งของเบตา-เคราติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในผิวหนัง เส้นผม และเล็บ และเป็นหนึ่งในสารตั้งต้นของกลูตาไธโอน สารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในสิ่งมีชีวิต  

- END -







Phenylalanine

 

Phenylalanine

ฟีนิลอะลานีน 

       ฟีนิลอะลานีน ( phenylalanine, Phe, F ) คือ กรดอะมิโน ( amino acid ) ชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดเป็นกรดอะมิโนจำเป็น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ กรดอะโนชนิดนี้จึงต้องได้รับจากอาหาร ฟีนิลอะลานีนมีสูตรโครงสร้างทางเคมีคือ C6H5CH2CH(NH2)COOH 


คุณสมบัติ

       ฟีนิลอะลานีนมีสูตรโมเลกุลคือ C9H11NO2 และมีมวลโมเลกุลเท่ากับ 165.19 g/ mol ในโครงสร้างประกอบด้วยหมู่ฟังก์ชั้นได้แก่หมู่ฟีนิล ซึ่งเป็นวงอะโรมาติคคาร์บอน 1 หมู่ , หมู่อะมิโน 1 หมู่ และหมู่คาร์บอกซิล 1 หมู่


ประโยชน์

       เนื่องจากร่างกายยังสามารถเปลี่ยนฟีนิลอะลานีนให้กลายเป็นกรดอะมิโนที่มีชื่อว่าไทโรซีนได้ โดยไทโรซีนเป็นกรดอะมิโนที่มีความสำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมนหลายชนิด เช่น เอพิเนฟริน ( epinephirne ) , นอร์เอพิเนฟริน ( norepinephrine ) และไทรอยด์ฮอร์โมน ( thyroid hormone ) และเนื่องจากการที่ฮอร์โมนเอพิเนฟรินเป็นฮอร์โมนที่ส่งผลต่ออารมณ์ ถ้าหากร่างกายขาดฟีนิลอะลานีนก็จะทำให้เกิดอาการสับสน หดหู่ ขาดความกระปรี้กระเปร่า มีปัญหาเรื่องความจำ เป็นต้น 


กรดอะมิโนจำเป็นชนิดอื่น

* * * วาลีน ( valine ) 

* * * ลิวซีน ( leucine ) 

* * * ไอโซลิวซีน ( isoleucine ) 

* * * เมตไทโอนีน ( methionine ) 

* * * ทรีโอนีน ( threonine ) 

* * * ไลซีน ( lysine ) 

* * * ทริปโตแฟน ( tryptophan ) ในเด็กมีเพิ่มอีก 2 ตัว ดังนี้

////////// ฮีสติดีน ( histidine ) 

////////// อาร์จินีน ( arginine )  


- END -

Egg White Protein

 

Egg White Protein


      “อัลบูมิน คือ โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งพบสารอัลบูมินได้มากที่สุดคือในไข่”  ไข่ขาว ถือเป็นแหล่งโปรตีนที่สมบูรณ์ ( complete protein ) ที่อุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีโปรตีนสูงกว่าแหล่งโปรตีนอื่น ๆ เช่น เนื้อสัตว์ นม ถั่ว เหลือง เป็นต้น

       ซึ่ง อัลบูมิน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบมากในเลือด ส่วนที่เป็นน้ําเลือด , เป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติในการละลายน้ําได้ และพบมากใน ไข่ขาว

       หน้าที่ของอัลบูมิน คือ คงระดับน้ําในหลอดเลือด ไม่ให้ซึมออกนอกหลอดเลือด ( ทําให้เกิดอาการบวม ) เป็นการสร้างเม็ดเลือด และซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน ไม่ติดเชื้อต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี 

       Egg White Powder - ผงไข่ขาวเป็นผงโปรตีนสูงที่สามารถใช้ในการทําฟองไข่ ด้วยการเติมน้ํา นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ สามารถผสมน้ําได้อย่างง่ายดายและไม่ก่อให้เกิดก่อน หรือ ตะกอน

       มีคุณสมบัติการที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับไข่สดเหลวสีขาวที่ pH เดียวกัน ส่วนใหญ่จะใช้ในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนม ( บิสกิต ) เช่นเดียวกับในรายการขนมเช่น nougats , meringues , marshmallows และมูสช็อคโกแลตที่จําเป็นต้องใช้คุณสมบัติการตี 

       ผงไข่ขาวอัลบูมินได้มาจากการแยกเกลือออกจากไข่ไก่ มีคุณสมบัติที่สําคัญสําหรับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ

       อุตสาหกรรมเบเกอรี่ - ส่วนใหญ่ที่ใช้ใน ขนม: ice cream ไอศครีม , เค้ก ขนมปังโรลทุกประเภท


       อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารสําเร็จรูป ( อาหารสําเร็จรูป ) - pates , roulades เนื้อ สัตว์และผลิตภัณฑ์ jarred และกระป๋อง


       อุตสาหกรรมยา - ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร


โปรตีนอัลบูมินในไข่ขาว ประกอบด้วย

       1.โอแวลบูมิน ( ovalbumin ) - พบมากที่สุดในไข่ขาว ราวร้อยละ 54 ของน้ําหนักโปรตีน จัดเป็นฟอสโฟไกลโคโปรตีน ( phospoglycoprotein ) มีโครงสร้างเป็นสาย โพลีเปปไตน์ ที่มีหมู่ฟอสเฟตและ คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบ มีจุดไอโซอิลเลก ตริก ( isoelectric point ) ที่ pH 4.6 และตกตะกอนที่ pH 4.6-4.8 ทนความร้อนได้ดี 


       2.โคแนลบลูมิน ( conalbumin ) - พบราวร้อยละ 13 ของน้ําหนักโปรตีน มีจุดไอ โซอลเลกตรึกที่ pH 6.6 ทนความร้อนได้น้อยกว่า แต่สูญเสียสภาพธรรมชาติได้ดี กว่าโอแวลบูมิน


       3.โอโวมิวคอยด์ ( ovomucoid ) - พบราวร้อยละ 1.2 ของน้ําหนักโปรตีน เป็นไกลโคโปรตีนที่มีความเฉพาะเจาะจงกับเอนไซม์ทร์พซิน สามารถยับยั้งเอนไซม์ทรัพซิน ซึ่งเป็นเอนไซม์โปรติเอสทําหน้าที่ย่อยโปรตีน โอโวมวคอยด์มีจุดไอโซอิลเลกตริกที่ pH 3.9-4.3 ในสภาวะที่เป็นกรดจะทนความร้อนได้ดี แต่จะสูญเสียสภาพอย่างรวดเร็วหากอยู่ในสารละลายด่างที่อุณหภูมิ 80 องศาเซียลเซียส 


       4.ไลโซโซม ( lysosome ) - พบราวร้อยละ 3.5 ของน้ําหนักโปรตีน มีจุดไอโซอิลเลกตริกที่ pH 10.7 เป็นเอนไซม์ สามารถทําลายผนังเซลของแบคทีเรียที่ปนเปื้อนเข้ามาในฟองไข่ได้ มีสมบัติเป็นสารกันเสีย แต่ถูกทําลายได้ด้วยความร้อนจากการหุง ต้ม หรือพาสเจอไรซ์ที่อุณหภูมิ 63.5 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน 10 นาที


       5.โอโวอินฮิบิเตอร์ ( ovoinhibitor ) - มีความเฉพาะเจาะจงกับเอนไซม์ทริพซิน ไคโมทริพซิน ซับทิลิซิน และเอนไซม์โปรตีเอสจาก Aspergillus oryzae


       6.ซิสตาติน ( cystatin ) - หรือสารยับยั้งเอนไซม์ปาเปน มีความเฉพาะเจาะจงต่อ เอนไซม์ปาเปน และฟีซิน


       7.อัลบูมิน ( Albumin ) - คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่ลอยอยู่ในกระแสเลือด ถูกผลิตขึ้นจากตับและมีปริมาณมากกว่าโปรตีนชนิดอื่น มีความสําคัญต่อผู้ป่วยมะเร็ง

       โดยจะทําหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดและซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้มีความแข็งแรง สมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่เราจะพบอัลบูมินเป็นส่วนประกอบหนึ่งประมาณ 50% ของโปรตีนที่พบในเลือดเลยทีเดียว

       นอกจากนี้อัลบูมินยังสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายเพื่อต่อต้านการติดเชื้อต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

       อัลบูมินนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนที่ตับ ดังนั้นหากร่างกายได้รับกรดอะมิโนน้อยเกินไปหรือได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอก็จะทําให้ระดับของอัลบูมินลดต่ําลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นผลให้ภูมิต้านทานต่ําและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนง่าย ขึ้นอีกด้วย


ประโยชน์ของ สารสกัดจากอัลบูมินในไข่ขาว 

       1.ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ


       2.ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน


       3.ช่วยบํารุงผิวหนัง ผม และเล็บ 


- END -

Wednesday, May 12, 2021

Salad

 

Salad

สลัด

      สลัด ( salad ) เป็นอาหารที่ประกอบด้วยอาหารชิ้นเล็ก ๆ โดยมากจะเป็นผัก มักเสิร์ฟที่อุณหภูมิห้องหรือแช่เย็น ยกเว้นสลัดมันฝรั่งจากเยอรมันใต้ที่เสิร์ฟแบบอุ่น

       สลัดสามารถทำมาจากอาหารชนิดใดก็ได้ที่พร้อมรับประทาน ( ready-to-eat ) การ์เดนสลัด ( Garden salads ) ใช้ผักใบเขียวเป็นหลัก เช่นผักกาดหอม อารูกูลา ( ผักร็อกเก็ต ) เคล หรือผักโขม คำว่า "สลัด" มักหมายถึงการ์เดนสลัด สลัดประเภทอื่นได้แก่ สลัดถั่ว สลัดทูนา สลัดกรีก และสลัดโซเมนซึ่งเป็นสลัดญี่ปุ่นที่มีเส้นเป็นส่วนประกอบหลัก ซอสที่ใช้เติมรสชาติให้สลัดเรียกว่า สลัดเดรสซิ่ง ( salad dressing ) ที่โดยมากทำมาจากน้ำมัน น้ำส้มสายชูหรือผลิตภัณฑ์นมหมัก


สลัดสามารถทานได้ในหลายช่วงของมื้ออาหาร 

* * * สลัดเรียกน้ำย่อย - เบา ปริมาณน้อย เสริฟเป็นรายการแรกของมื้ออาหาร 

* * * สลัดเครื่องเคียง - เสริฟพร้อมอาหารหลัก  

* * * สลัดเมนคอร์ส - มักประกอบไปด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงอย่างเนื้อไก่ แซลม่อน เนื้อวัว ถั่ว หรือ ชีส ทานเป็นอาหารหลัก

* * * สลัดของหวาน - เป็นสลัดแบบหวานประกอบไปด้วยผลไม้ เจลาติน สารให้ความหวาน หรือวิปป์ครีม 


ความหมายศัพท์

       คำว่า สลัด มาจากภาษาฝรั่งเศส salade ที่มีความหมายเดียวกัน และภาษาลาติน salata และ sal ที่แปลว่าเค็มหรือเกลือ

       ในภาษาอังกฤษ คำว่า สลัด ( salad ) หรือ สลัท ( sallet ) เริ่มเห็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 14

       เกลือมีความเกี่ยวโยงกับสลัดเพราะผักต่าง ๆ มักถูกปรุงด้วยน้ำเกลือหรือ เดรสซิ่งที่ทำมาจากน้ำมันและน้ำส้มสายชูที่มีความเค็มในสมัยโรม



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ผักที่ใช้ในการทำสลัด

ข้างล่างนี้ )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      ผักเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการทำสลัด แต่ประเภทของผักที่นิยมจะนำมา ทำสลัดนั้น มีอยู่ 2 อย่างคือ เป็น ผักที่มีรสชาติที่ต้องเข้ากับน้ำสลัดได้ดี และ เป็น ผักที่มีความชอบส่วนตัว ในที่นี้เราจะแบ่งผักออกเป็น 3 ประเภท เพื่อเข้าใจง่ายขึ้น ผักประเภทใบ ผักประเภทหัวหรือผล และ ธัญพืช

* * * ผักประเภทใบเขียว - เรามักเรียกโดยรวมทั่ว ๆ ไปว่า ผักใบเขียว ได้แก่ ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ก ผักคอสหรือผักโรเมน ผักคอสแดง ผักบัตเตอร์เฮด กะหล่ำปลี ซึ่งผักใบเขียวหรือแดงที่ยกตัวอย่างมานี้ นิยมใช้ทำสลัดกันมากที่สุดเพราะมีรสจืด แต่บางที่ผักให้กลิ่นฉุน หรือขมนิด ๆ ก็เป็นที่ชื่นชอบกันไม่น้อยเลยที่เดียว เช่นผักร๊อกเกต สำหรับผักที่มีลักษณะที่ช่อ ก้าน หรือใบเล็ก ๆ ที่นิยมนำมาปรุงทำสลัด หรือ เป็นส่วนผสมในน้ำสลัด มีหลายชนิด เช่นกัน ที่นิยมกันมากที่สุด ทั้งทำสลัด และ ส่วนผสมของน้ำสลัด คือ ผักชีฝรั่ง หรือ พาร์สลีย์ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง หรือ เซเลอรี่ ผักชีลาว หรือ ดิลผักชีอิตาลี สะระแหน่ โหระพา ฯลฯ


* * * ผักประเภทหัวหรือผล - ผักประเภทนี้ เป็นที่รู้จักกันดีและนิยมรับประทานกันอยู่แล้ว เช่น แครอท หัวหอมใหญ่ มันฝรั่ง มันเทศ เผือก มะเขือเทศ ฟักทอง พริกหวาน มะเขือม่วง บีตรู้ต แรดิช แตงกวา ซูกินี ฯลฯ รวมถึงผลไม้อย่างอะโวคาโด แอ๊ปเปิ้ล มะม่วง แคนตาลูป ฝรั่ง แก้วมังกร ฯลฯ เหมาะสำหรับที่จะทำเป็นสลัด ที่ต้องการใช้น้ำสลัดครีมข้น เวลารับประทานต้องนำไปต้ม นึ่ง หรือลวกให้สุกเสียก่อน ยกเว้นบางชนิดที่รับประทานสดได้เลย เช่น แครอท หัวหอมใหญ่ มะเขือเทศ พริกหวาน แตงกวา ซูกินี เป็นต้น และรวมถึงผลไม้ต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน


* * * ธัญพืชต่าง ๆ - ที่นิยมทำสลัดมากที่สุด คือ ถั่วแดง ลูกเดือย ข้าวโพด ฯลฯ รวมถึง ข้าวชนิดต่าง ๆ และ พาสต้าที่ทำมาจากข้าวสาลีด้วย เราสามารถใส่ธัญพืชแทนเนื้อสัตว์ได้ เพราะมีสารอาหารครบห้าหมู่

       ดังนั้น สลัดประเภทนี้ จะหนักท้องมากกว่า สลัดผักใบเขียวทั่ว ๆไป ต้องนำไปต้ม นึ่ง หรือลวกให้สุกเสียก่อนที่จะนำไปทำสลัด

       มารู้จักผักสดที่นิยมนำมาใช้ทำผักสลัด เมนูสุขภาพ กัน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

กรีนโอ๊ก - Green Oak Lettuce

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      กรีนโอ๊ก - Green Oak Lettuce - เป็นผักตระกูลผักสลัด มีลักษณะเป็นผักใบหยักสีเขียวอ่อน รูปทรงสวยเป็นพุ่ม รสชาติหวานกรอบคล้ายผักกาดหอม ผักมีอายุประมาณ 40-45 วัน หลังจากลงแปลงปลูก นิยมทานสดเพราะมีคุณค่าทางสารอาหาร ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด บำรุงสายตา บำรุงเส้นผม บำรุงประสาทและกล้ามเนื้อ เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย

       รสชาติหวานกรอบ นิยมทำเป็นผักเครื่องเคียงและรองจานอาการ  สามารถหยิบใช้แทนผักกาดหอมได้เป็นอ่างดี เพราะรสชาติและเนื้อสัมผัสมีความใกล้เคียงกัน

       ยังมีสรรพคุณช่วยในการสร้างเม็ดเลือดขาว บำรุงสายตา เส้นผม บำรุงประสาท ตลอดจนถึงกล้ามเนื้อ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

เบบี้คอส - Baby cos

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

        เบบี้คอส - Baby cos - มีชื่ออีกชื่อหนึ่งคือ ผักกาดหวาน มีวิตะมินซีสูง นอกจากนี้ยังให้ฮีโมโกลบิน ( Hemoglobin ) ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง บรรเทาอาการท้องผูก เหมาะสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

       เป็นผักกาดหวานต้นอ่อนที่กรอบอร่อย รสชาติออกหวานเล็กน้อย  ใช้ใส่ในซีซาร์ลัดด้วยเข่นกัน มีสรรพคุณในการป้องกันโรคโลหิตจาง และช่วยบำรุงให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด - Butterhead

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด - Butterhead - เป็นผักสลัดที่มีรูปร่างสวยงาม คล้ายดอกไม้ รสชาติหวานกรอบ ไม่ขม

       นอกจากทำสลัดแล้ว ยังดัดแปลงมาห่อหรือพันอาหารแทนขนมปังหรือแป้งต่างๆ รับประทานกับเนื้อสัต์เพื่อช่วยลดน้ำหนักเช่นเดียวกัน

       ใช้ในการตกแต่งจานอาหารประเภทเรียกน้ำย่อย เช่น ในจานแคร็กเกอร์กับชีส พาสต้า สลัดมันฝรั่ง

       ที่สำคัญ ยังประกอบด้วยวิตามินซี และฮีโมโกลบิน ( Hemoglobin ) สูง ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง บรรเทาอาการท้องผูก 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ผักกาดหวาน - Romaine Lettuce

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       ผักกาดหวาน - Romaine Lettuce - รสชาติหวานกรอบ สามารถทำอาหารได้หลายประเภท มักนิยมใช้ทำ "ซีซาร์สลัด"

       ใบที่มีสีเข้มแก่ จะให้รสชาติและกลิ่นที่จัดจ้านกว่าใบสีอ่อน

       มีสารอาหารที่สำคัญอย่างวิตะมินเอ  เบต้าแคโรทีน  กรดโฟลิค และวิตามินซี ที่มีความสำคัญต่อหัวใจ และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันการโรคมะเร็งอีกด้วย


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

เรดิชิโอ - Radicchio

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       เรดิชิโอ - Radicchio - รูปร่างคล้ายกะหล่ำ มีสีม่วงแดงและเส้นใบสีขาว มีรสชาติขมเล็กน้อย

       นิยมรับประทานกันมากในประเทศอิตาลี มักเสิร์ฟ์คู่กับอาหารประเภทอบและย่าง เช่น ริซอตโต้

       สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 1 สัปดาห์ 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

เบบี้สปิแนช - Baby Spinach

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       เบบี้สปิแนช - Baby Spinach - ใบแบน มีลักษณะหวานเล็กน้อย หากนำไปลวกก็จะได้รสที่ขมเล็กน้อย รับประทานได้ทั้งก้านและใบ

       เป็นผักสลัดที่เป็นแหล่งรวมของธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตะมินซี ไรโอฟลาบิน เบต้าแคโรทีน โซเดียม และโปตัสเซียม  เหมาะมากสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ เพราะช่วยเสริมโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ร็อกเก็ตป่า - Wild Rocket

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      ร็อกเก็ตป่า - Wild Rocket - ใบจะเล็กกว่าร็อกเก็ตแบบปกติ มีรอยหยักแหลมและถี่กว่า

       รสชาติโดยรวมจะเหมือนกับร็อกเก็ตแบบปกติ แต่ต่างกันตรงที่มีรสจัดจ้าน และเผ็ดฉุนมากกว่า

       หากอยากเน้นรสชาติผักในเมนูนั้นๆให้โดดเด่น ให้เลือกร็อกเก็ตน้ำจะดีกว่า และเหมาะที่จะใช้กับน้ำสลัดแบบใสมากกว่าด้วย 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

วอเตอร์เครส - Water Cress

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       วอเตอร์เครส - Water Cress - ใบจะเล็กและมีปลายแหลม มีสีเขียวเข้ม นิยมนำยอดมาใช้ในจานสลัด

       รับประทานเป็นผักแกล้มก็ได้ มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งวิตะมินซี อี เค และแคลเซียม ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ร็อกเก็ต - Rocket

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       ร็อกเก็ต - Rocket - ใบมีรสเผ็ดเล็กน้อย อมขมนิดๆ คล้ายงา และถั่วลิสง แต่ถ้าใช้ใบอ่อน จะลดเผ็ดและขมลงได้ จะมีรสชาติที่เบากว่า

       เมื่อทานเป็นสลัดตจะเข้ากันได้ดีกับน้ำสลัดน้ำส้มสายชูมัลซามิก หรือจะเอาไปใส่ในพิซซ่าและพาสต้าก็ได้

       มีวิตะมิเอ และวิตะมินซี ในปริมาณสูบงมาก จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้เป็นอย่างดี 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

อะมาแรนธ์ - Amaranth

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       อะมาแรนธ์ - Amaranth - ไม่ใช่สปิแนช แต่ก็มักเรียกว่า "ผักโขมจีน" ( Chinese Spinach ) เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน

       รสชาติอร่อยคล้ายสปิแนช ออกหวานเล็กน้อย ใช้ในสลัดผัก หรือทำซุปก็ได้ ซึ่งจะทำให้อาหารนั้นมีสีแดงเรื่อยๆ เนื่องจากเส้นผักเป็นสีแดง  พบมากในประเทศแถบแคริบเบียน และเอเซีย 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ผักกาดแก้ว - Iceberg Lettuce

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       ผักกาดแก้ว - Iceberg Lettuce - รสชาติหวานและกรอบมาก นอกจากจะทานเป็นผักสลัด ยังใช้เป็นเครื่องเคียงในอาหารประเภทยำ หรือที่มีรสจัด จะช่วยให้ความเผ็ดร้อนเบาบางลงได้ เนื่องจากผักมีรสหวาน

       ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด ป้องกันโรคหวัด เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

มิซุนา - Mizuna

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       มิซุนา - Mizuna - ผักใบเขียวสายพันธุ์ญี่ปุ่น ใบบอบบาง ขอบหยัก ก้านสีขาว มีความกรอบ รสชาติคล้ายมัสตาร์ด

       ตอนที่ใบยังอ่อนๆ นิยมเสิร์ฟสดๆในสลัด

       ตอนที่ใบแก่ จะนำไปผัด จะได้รสชาติที่อรอยเยี่ยมยอด


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

เรดโอ๊ก - กรีนโอ๊ก - Red & Green Oak

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

       เรดโอ๊ก - กรีนโอ๊ก - Red & Green Oak  - ใบสีแดงเข้มและเขียวเข้ม ซ้อนทับเป็นชั้น

       ปลายใบหยิกแยกเป็นแฉก เป็นพุ่มสวยงาม

       รสชาติคล้ายผักกาดหอม แต่หวานกว่า  รับประทานสดๆช่วยล้างผนังลำไส้ กำจัดไขมัน และอนุมูลอิสระอันเป็นเหตุของการเกิดมะเร็งในลำไส้  ลดไขมันได้ดี มีกากใยอาหารสูงและย่อยง่าย



- END -

Sunday, May 9, 2021

Rolled Oats

 

Rolled Oats

      ข้าวโอ๊ตจัดเป็นธัญพืชที่ทนทานต่อสภาพดินที่แห้งแล้ง หลายคนจึงมองว่า พืชชนิดนี้มีความอดทนและแข็งแรงมาก หากได้กินเป้นอาหารมื้อเช้าแล้วก็น่าจะเป็นการส่งต่อความแข็งแรงมายังสุขภาพเราด้วยเช่นกัน ลองมาดูคุณค่าสารอาหารของข้าวโอ๊ตกัน 

 ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา


กินข้าวโอ๊ตเป็นมื้อเช้าดีอย่างไร

       หนังสือ กินอย่างไรไม่อ้วน ไม่มีโรค โดย ศัลยา คงสมบูรณ์เวช แนะนำว่า อาหารเช้าที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้

       1.เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพราะร่างกายจะค่อยๆ ปลดปล่อยกลูโคสให้กับสมอง โดยใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมนานขึ้น แนะนำให้เลือกธัญพืชไม่ขัดสีและผลไม้ 


       2.มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ ถั่วต่างๆ เป็นอาหารที่ย่อยช้าทำให้อิ่มนาน 


       3.เป็นอาหารโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ธัญพืชเสริม แคลเซียม 


       จะเห็นได้ว่า คุณลักษณะของอาหารเช้าที่ดีนั้น จะมีธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งรวมถึงข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสมเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นสาวๆ นิยมกินข้าวโอ๊ตโดยทำเป็นเมนูต่างๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม โรยลงในโยเกิร์ต นม นมถั่วเหลือง ผสมน้ำผึ้งกินคู่กับผลไม้สดหรือแห้ง 

       นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังมีสารอาหารสำคัญต่อสุขภาพ โดยเฉพาะแมงกานีส ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย พบมากในโครงกระดูก ตับ ตับอ่อน หัวใจ ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม ควบคุมการตอบสนองของกล้ามเนื้อ ป้องกันอาการปวดหลัง ช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีความจำดี 

       ส่วนโมลิบดีนัมเป็นแร่ธาตุที่จำเป้นต่อการเจริญเติบโต ช่วยให้เอนไซม์หลายชนิดทำงานเป็นปกติ และช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง

       รวมถึงมีใยอาหารชนิดละลายน้ำที่เรียกว่า เบต้ากลูแคน ซึ่งงานวิจัยหลายเรื่องสรุปตรงกันว่า การกินเบต้ากลูแคนจากข้าวโอ๊ตวันละ 3 กรัม จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมลงได้ 



ปรุงอย่างไรให้อร่อยเลิศ สุขภาพล้ำ

       เมื่อข้าวโอ๊ตเก็บเกี่ยวจากไร่แล้ว จะถูกนำมาขัดเปลือกออก แล้วนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ กระทั่งได้ผลิตภัณฑ์ข้าวโอ๊ตในลักษณะต่อไปนี้

1.ไอริชโอ๊ต ( Irish Oats ) หรือ Steel Cut Oats คือ ข้าวโอ๊ตที่ขัดเปลือกออกแล้ว นำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ข้าวโอ๊ตชนิดนี้มีสารอาหารอยู่ครบ แต่ต้องใช้เวลาในการต้มนาน เหมาะสำหรับการหุง ทำข้าวต้ม หรือกินคู่กับผลไม้ 


2.โรลโอ๊ต ( Rolled Oats ) หรือ Old-Fashioned คือ การนำข้าวโอ๊ตที่ขัดเปลือกออกแล้วไปนึ่ง จากนั้นนำมารีดให้เป็นแผ่นแบน แล้วนำไปอบหรือตากแดดให้แห้ง ข้าวโอ๊ตชนิดนี้นิยมใช้เป็นส่วนผสมของขนมอบ หรือนำมาผสมกับผลไม้แห้ง ถั่ว ที่เรียกว่ามูสลี่หรือกราโนลา


3.ควิก-คุกกิ้งโอ๊ต ( Quick-Cooking Oat ) คือ การนำข้าวโอ๊ตไปรีดให้แบนกว่าโรคโอ๊ต นิยมกินคู่กับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง


4.ข้าวโอ๊ตสำเร็จรูป ( Instant Oats ) มีกระบวนการผลิตเหมือนกับโรคลโอ๊ตคือทำให้ข้าวโอ๊ตสุกเสียก่อน ซึ่งจะใช้เวลานานกว่าโรคโอ๊ต จากนั้นนำมาสับ อบให้แห้ง แล้วปรุงรส เพื่อสะดวกต่อผู้บริโภค โดยเพียงเติมน้ำร้อนก็กินได้เลย



ประเภทของข้าวโอ๊ต  

       ข้าวโอ๊ต มีกี่แบบ คงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ข้าวโอ๊ตถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง กากใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ และ เบต้ากลูแคน ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่ง ข้าวโอ๊ต มีหลากหลายแบบให้เลือกรับประทานตามความต้องการของแต่ละคน โดยสามารถแบ่งได้เป็น 8 ประเภท ได้แก่ 

1.Oat groats

       คือ ข้าวโอ๊ตที่ผ่านการล้างทำความสะอาด และกำจัดเอาส่วนที่แข็งไม่สามารถรับประทานได้ออกแล้ว แน่นอนว่าข้าวโอ๊ตประเภทนี้ต้องใช้เวลานานในการทำให้สุก  


2. Steel cut oat 

       คือ ข้าวโอ๊ตที่ผ่านการขัดเปลือกออก จากนั้นตัดเป็นชิ้นเล็กๆด้วยมีด ข้าวโอ๊ตชนิดนี้มีสารอาหารอยู่ครบ แต่ต้องใช้เวลาในการต้มนาน เหมาะสำหรับการหุง ทำข้าวต้ม หรือกินคู่กับผลไม้ 


3.Scottish oatmeals  

       คือ ข้าวโอ๊ตคล้ายๆกับ Steel cut oat แต่เปลี่ยนจากการใช้มีดในการตัด เป็นหิน ดังนั้นขนาดของข้าวโอ๊ตจะมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน  


4.Oat bran 

       หรือ จมูกข้าวโอ๊ต นั่นเอง เป็นแหล่งรวมสารอาหารที่มีประโยชน์ คล้ายๆกับจมูกข้าว 


5.Old-fashioned oats หรือ Rolled Oats

       คือ ข้าวโอ๊ตที่ขัดเปลือกออกแล้วไปนึ่ง จากนั้นนำมารีดให้เป็นแผ่นแบน แล้วนำไปอบหรือตากแดดให้แห้ง ข้าวโอ๊ตชนิดนี้นิยมใช้เป็นส่วนผสมของขนมอบ หรือนำมาผสมกับผลไม้แห้ง ถั่ว ที่เรียกว่ามูสลี่หรือกราโนลา 


6.Quick oats 

       คือ ข้าวโอ๊ต Old-fashioned ที่นำไปปรีดให้แบนกว่าเดิม นิยมกินคู่กับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง 


7.Instant oatmeal

       คือ ข้าวโอ๊ต Old-fasioned แต่จะใช้เวลาในการทำให้สุกนานกว่า และปรุงรส เพื่อให้สามารถเติมน้ำร้อนแล้วทานได้ทันที 


8.Oat flour 

       คือ ข้าวโอ๊ตเต็มเมล็ดที่นำไปบดจนละเอียด สามารถนำไปใช้ทำเบเกอรี่ 



เทคนิคการเลือกข้าวโอ๊ตที่ใช่สำหรับคุณ 

       คงตอบข้อสงสัยของหลายๆคนได้ว่า ข้าวโอ๊ต มีกี่แบบ และแน่นอนว่าแต่ละคนมีความเป้าหมายในการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเลือกข้าวโอ๊ตจึงเป็นส่วนสำคัญ

       สำหรับข้าวโอ๊ตประเภทที่มีประโยชน์สูงสุด เนื่องจากผ่านกรรมวิธีน้อยที่สุดได้แก่ Oat flour ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปทำเบเกอรี่

       สำหรับคนที่ต้องการรับประทานเป็นอาหารเช้า ขอแนะนำเป็น Instant oatmeal หรือ quick oat ใช้เวลาในการเตรียมไม่มาก แต่คุณค่าทางโภชนาการที่ได้จะไม่เท่ากับ Ola-fashioned oat แต่ใช้เวลาในการเตรียมที่นานกว่า

       หรือถ้าใครที่ไม่มีเวลาเตรียมมื้อเช้าขอแนะนำ มาช มอนิ่ง ( MASH MORNING ) เครื่องดื่มน้ำนมข้าวโอ๊ต ที่อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วย เพราะทำจาก Whole oat อุดมไปด้วยกากใยอาหาร และเบต้ากลูแคนที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานอีกด้วย 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ทาน Rolled Oats แบบ "ดิบ" ได้ไหม?

EATING ROLLED OATS ‘RAW’


ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

      เมื่อพูดถึงข้าวโอ๊ตประเภท Rolled Oats แล้ว ตามปกติก็ไม่แปลกอะไรที่เราจะทานแบบดิบๆ เหตุผลที่เราทานแบบดิบๆได้โดยไม่ต้องปรุงก็เพราะว่ามันผ่านกรรมวิธีต้มด้วยไอน้ำมาจากโรงงานแล้ว  ดังนั้น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เรียกว่า "สุก" แต่ โดยเทคนิคแล้ว มันก็ไม่ได้เรียกว่า ดิบ เช่นกัน

       กระบวนการผ่านไอน้ำอ่อนๆไปที่พื้นผิวของ Rolled Oats ก็คือรูปแบบการทำให้ Rolled Oats อยู่ในสภาพที่ง่ายต่อการย่อย ซึ่งทำให้ระบบการย่อยอาหารของเราไม่ต้องรับภาระหนักเมื่อทานมัน 

       ข้าวโอ๊ตแบบบาง ( thinner rolled oats ) จะง่ายต่อการ "เคี้ยว" เพราะมีลักษณะนุ่มกว่าข้าวโอ๊ตแบบหนา ( thick-cut )  


การทำให้พร้อมสำหรับการทาน

       หลายคนไม่ชอบการทาน Rolled Oats แบบดิบ เพราะรู้สึกว่ามันเหม็นเขียว และบางทีเวลาเคี้ยวก็อาจจะมีอาการ กรุบๆบ้าง และบางคนก็บ่นว่ามันทำให้ท้องผูก

       สำหรับในกรณีนี้ ( คือคนไม่ชอบ Rolled Oats เพราะเหม็นเขียว , เคี้ยวกรุบๆ , มีอาการท้องผูก ) คุณสามารถแช่ Rolled Oats ในของเหลวจนมันนิ่มได้

       ของเหลวที่ใช้ในการแช่ก็เช่น น้ำผลไม้เย็นๆ , หรือจะใช้น้ำ หรือนมแช่แทนก็ได้

       หรือว่า ถ้าอยากให้นิ่มกว่านั้น ก็แช่ Rolled Oats ในน้ำอุ่น หรือเอาไปต้มในน้ำเดือดเลย


สรุป - การทาน Rolled Oats โดยตรงจากถุงหรือจากถังไม้ที่ใช้บรรจุ ( โดยไม่ผ่านการปรุงก่อน ) จะไม่ทำให้คุณเสียสุขภาพแต่อย่างใด  /  คุณสามารถเลือกรูปแบบการทานได้ ไม่ว่าจะเป็นการเคี้ยวทานแบบไม่ต้องต้ม หรือเอาไปแช่น้ำผลไม้เย็นๆก่อนทาน หรือท้ายที่สุด ก็คือการต้มด้วยน้ำร้อนให้ Rolled Oats มีลักษณะข้นเป็นครีมไปเลย 

- END -



Thursday, May 6, 2021

วิธีวัดขนาดของร่างกาย

 


วิธีวัดขนาดของร่างกาย


      หลายปีมาแล้ว เดวิด พี.วิลลอบี้ ( David P. Willoughby ) นักเขียนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงในด้านมนุษยมิติ ได้นำเสนอวิธีการต่อไปนี้ สำหรับการวัดผลที่ถูกต้อง

* * * ใช้สายวัดที่เป็นเหล็ก หรือถ้าท่านใช้สายวัดที่เป็นผ้า ก็ต้องแน่ใจว่าวัดได้ถูกต้องเที่ยงตรง


* * * ให้คนอื่นช่วยวัดด้วยถ้าทำได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องวัดด้วยตนเอง ควรจะยืนหน้ากระจก เพื่อให้เห็นว่าตำแหน่งของสายวัดอยู่บริเวณใด ก็จะช่วยได้มาก


* * * บันทึกส่วนสูง และขนาดกล้ามเนื้อที่วัดได้เป็นนิ้ว  และจดเศษส่วนให้ละเอียดด้วย รวมทั้งจดน้ำหนักร่างกาย


* * * การวัดขนาด ให้ทำโดยเอาปลายด้านหนึ่งของสายวัด ( ด้านที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 ( ศูนย์ ) ) กดไว้ที่จุดแกนกลางของกล้ามเนื้อ  จากนั้นก็ลากสายวัดให้ล้อมรอบกล้ามเนื้อที่กำลังวัดอยู่  /  ลากสายวัดมาจนกระทั่งกลับมาชนจุดเริ่มต้น โดยไม่ให้สายวัดเอียงหรือเฉไป


* * * การวัดส่วนสูง ควรให้อยู่ในสภาพเท้าเปล่า ยืนตัวตรงส้นเท้าชิด ( ทำตัวให้ยืดสูงเท่าที่จะทำได้ แต่ส้นเท้าต้องอยู่ติดพื้น ) 


* * * การชั่งน้ำหนัก ไม่ควรสวมเสื้อผ้า เพราะทำให้ได้ผลไม่ตรงตามความจริง ดังนั้น เราจึงควรจะเอาน้ำหนักของเสื้อผ้าออกไป ด้วยการไม่สวมเสื้อผ้า 


การวัดขนาดของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ 


อายุ - ใช้หน่วยเป็นปี ( มีความสำคัญในการพิจารณาเรื่องการฝึกด้วย )


ความสูง - ใช้หน่วยเป็นเซนติเมตร 


น้ำหนัก - ใช้หน่วยเป็นกิโลกรัม   


คอ - ให้วัดส่วนที่เล็กที่สุด เหนือลูกกระเดือก  /  เวลาวัดให้ศีรษะตรง ใช้หน่วยเป็นนิ้ว 


ภาพบน ) กล้ามต้นแขนของคุณ ลู เฟอริโน - Lou Ferrigno

( ยังไม่ได้วอร์ม วัดได้ถึง 22 นิ้วกว่าๆทีเดียว ! )

ต้นแขน - ให้ยกแขนขึ้นระดับไหล่ งอข้อศอกเต็มที่และเกร็งกล้ามเนื้อ ( เหมือนที่เห็นในภาพข้างบนนี้ ) แล้ววัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด ที่นูนเด่นที่สุด ใช้หน่วยเป็นนิ้ว 


แขนท่อนปลาย - วัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด  /  เวลาวัด ให้เหยียดแขนตรง กำหมัด ข้อมือตรง ใช้หน่วยเป็นนิ้ว


ข้อมือ - วัดส่วนที่อยู่ถัดจากโคนฝ่ามือขึ้นมา ( ระหว่างปุ่มข้อกระดูก กับ ฝ่ามือ)  /  เวลาวัดให้แบมือ นิ้วเหยียดตรง มืออยู่แนวเดียวกับปลายแขน ใช้หน่วยเป็นนิ้ว


ทรวงอก - วัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดซึ่งจะอยู่ใต้รักแร้ลงมาเล็กน้อย ใช้สายวัดๆโอบรอบ กระดูกสะบัก แล้วผ่านหัวนมด้านหน้า

       เวลาวัด ลำตัวต้องตรง ศีรษะเชิด หายใจเบาๆ กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ใช้หน่วยเป็นเซนติเมตร หรือนิ้วก็ได้


เอว - วัดส่วนที่เล็กที่สุด ซึ่งจะเหนือสะดือขึ้นมาเล็กน้อย  /  เวลาวัด ให้ตั้งลำตัวตรง โดยให้อยู่ในสภาพปกติ ( ไม่ต้องแขม่ว หรือเบ่งหน้าท้อง ) ใช้หน่วยเป็นนิ้ว 


สะโพก - วัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งก็คือ บริเวณที่สะโพกผาย  /  เวลาวัดให้ยืนเท้าชิดก่อน แล้ววัดผ่านก้นส่วนที่มีเนื้อมากที่สุด ใช้หน่วยเป็นนิ้ว 


ต้นขา - ให้วัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมักจะเป็นบริเวณรอยพับใต้ก้น  /  เวลาวัด ให้ยืนแยกเท้าห่างประมาณ 6 นิ้ว , กล้ามเนื้อต้นขาผ่อนคลาย ใช้หน่วยเป็นนิ้ว


เข่า - วัดล้อมรอบกึ่งกลางสะบ้าหัวเข่า  /  เวลาวัด ต้องให้กล้ามเนื้อต้นขาผ่อนคลาย แต่เข่าตรง , ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่าๆกัน ใช้หน่วยเป็นนิ้ว 

ภาพบน ) กล้ามน่องของคุณ เฟล็กซ์ วีลเลอร์ - Flex Wheeler

( ในความสูง 170 ซม. แต่มีขนาดกล้ามน่อง 20 นิ้วกว่าๆ - ไม่ธรรมดาจริงๆ ! )


น่อง - วัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด กดส้นเท้าลง ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนเท้าทั้งสองข้าง เท่าๆกัน ใช้หน่วยเป็นนิ้ว 


ข้อเท้า - วัดส่วนที่เล็กที่สุดเหนือตาตุ่มขึ้นประมาณ 2 นิ้ว เวลาวัดยืนเท้าราบกับพื้น ทิ้งน้ำหนักตัวลงข้างละเท่าๆกัน ใช้หน่วยเป็นนิ้ว 


* * * จงแน่ใจว่าได้วัดแขนขาทั้งซ้ายและขวา


* * * การวัดเส้นรอบวงของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ควรให้สายวัดแตะผิวหนังแต่เพียงเบาๆ ไม่ว่าท่านจะผอม หรือมีกล้ามเนื้อ  ถ้าวัดส่วนที่เป็นกระดูก ( เช่น ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า ) ให้วัดโดยสายวัด แตะผิวหนังแต่เบาๆเช่นกัน

       แต่ถ้าท่านมีน้ำหนักมาก ก็ให้วัดส่วนที่ว่านี้ ( ข้อมือ หัวเข่า ข้อเท้า ) โดยให้สายวัดแนบติดแน่นขึ้น 


* * * ในผู้หญิง การวัดทรวงอก ควรวัดเหนือระดับเต้านม

       การวัดทรวงอก และเต้านมควรแยกวัดต่างหาก  /  ใช้สายวัดๆที่ ระดับสูงสุดของเต้านม

หมายเหตุ - นอกจากเรื่องการวัดทรวงอก ระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ( ซึ่งแตกต่างกัน ) นี้แล้ว  ส่วนที่เหลือ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็จะใช้วิธีวัดเหมือนกันหมด 

- END -