Sunday, July 31, 2022

Meat/Red meat protein powder

 

Meat/Red meat protein powder


* * * โปรตีนเนื้อวัวสกัดจากกระบวนการทางวิศวกรรมชีวภาพ เข้มข้นกว่าสเต็ก เข้มข้นกว่าเวย์

       - อานุภาพของเนื้อวัวที่สามารถดูดซึมได้เร็วเหมือนเวย์

       - เข้มข้นกว่าสเต็กถึง 350% 

       - อุดมไปด้วย BCAAs และครีเอทีน

       - ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ทำให้ดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว 

       - มีให้เลือกถึง 8 รสชาติความอร่อย


* * * ด้วยเทคโนโลยีใหม่อันล้ำสมัยในการสกัด จำแนก และแยกย่อย

       ทำให้ Beef Protein เป็นโปรตีนเนื้อวัวสกัดจากกระบวนการทางวิศวกรรมชีวภาพที่ให้อานุภาพในการสร้างกล้ามเนื้อดุจดังเนื้อวัว ด้วยระดับกรดอะมิโนที่สูงกว่าแหล่งโปรตีนอื่นๆ ที่มีการนำมาใช้กันในรูปของอาหารเสริม ไม่ว่าจะเป็นเวย์ ถั่วเหลือง นม หรือไข่ก็ตาม Beef Protein มีความเข้มข้นของกรดอะมิโนที่เหมาะกับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อสูงกว่าสเต็กเนื้อสั้นชั้นดีถึง 350%! แถมยังปราศจากไขมันและคลอเลสเตอรอล! 


* * * ด้วยเทคโนโลยีการกักเก็บไนโตรเจนสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ

       อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษให้ช่วยในการนำกรดอะมิโนกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อและป้องกันไม่ให้ร่างกายผลิตสารที่จะทำให้มีอาการอ่อนเพลีย เช่น แอมโมเนีย เป็นต้น Beef Protein เป็นโปรตีนเสริมชนิดเดียวที่มีเทคโนโลยีนี้สำหรับเพิ่มระดับการกักเก็บไนโตรเจนและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและศักยภาพร่างกาย


* * * Beef Protein มีครีเอทีนสูงกว่าที่เนื้อวัวปกติจะให้ได้

       เพื่อกระตุ้นผลของครีเอทีนในการสร้างกล้ามเนื้อและการขยายตัวของเซลล์ให้มากขึ้น แต่ละหน่วยบริโภคของ Beef Protein ให้ครีเอทีนมากกว่าสเต็กถึง 20 เท่า เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณพร้อมเต็มที่สำหรับการระเบิดพลังและเติบโตขึ้น และเพื่อเสริมศักยภาพในการสร้างกล้ามเนื้อของ Beef Protein เข้าไปอีก จึงได้เติม BCAAs เพิ่มเพื่อช่วยสร้างสมดุลให้กับไนโตรเจน เพิ่มการสังเคราะห์โปรตีน ลดการสลายกล้ามเนื้อ เพิ่มศักยภาพในการฝึก และลดอาการล้าของกล้ามเนื้อ


* * * เสียงตอบรับจากผู้บริโภค

       ผู้บริโภครายหนึ่ง "ผมเองได้ดื่มเวย์โปรตีนมาหลายปีตามที่มีคนแนะนำมา ผมจะเล่าสั้นๆ ว่า ผมได้เจอโปรตีนนี้ในขณะที่พยายามหาอะไรที่มันดีกว่าเดิม โปรตีนนี้มันเป็นอย่างที่โฆษณาจริงๆ ผมเห็นผลอย่างชัดเจนเพียงไม่นานหลังจากใช้มัน รูปร่างผมเปลี่ยนไปและผมก็ฝึกได้ดีขึ้น คุณจะไม่ผิดหวัง และคุณก็ไม่จำเป็นต้องซื้อครีเอทีนเพิ่มเพราะมันมีอยู่ในอาหารเสริมนี้แล้ว"  


- จบ -

Monday, July 18, 2022

Smith Machine Flat Presses

 

Smith Machine Flat Presses 



( หน้าเว็บนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงครับ )

Tuesday, April 19, 2022

ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน



 

ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน


       ปริมาณน้ำที่เราดื่มในแต่ละวัน มีผลต่อการบริหารร่างกาย และมีผลต่อการรักษาระดับน้ำหนักตัวของคุณ นี่คือความสำคัญที่ทำให้เราควรมาศึกษาเรื่องนี้กันครับ 


       ทุกคนต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้เรามีชีวิตรอดอยู่ได้ โดยน้ำจะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานเป็นปกติ  คำถามก็คือ สำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ควรจะดื่มน้ำในปริมาณเท่าไรต่อวัน?

       เหตุผลที่ถามคำถามนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่ง ( คุณสามารถอ่านงานวิจัยนี้ได้โดยตรง โดย คลิกที่นี่ ) ชี้ว่า มีผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมากถึง 46 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่ได้รับปริมาณน้ำที่เพียงพอ  



ภาพบน ) :"คลิกที่ภาพข้างบนนี้" เพื่อไปหน้าเว็บที่มีเครื่องคำนวณนี้นะครับ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     


หลักการคำนวณ ( ที่ใช้ในเครื่องคำนวณในภาพข้างบนนี้ )

       
หลักการใหญ่ๆก็คือ ให้คุณเอาตัวเลขน้ำหนักตัวแบบเป็น "ปอนด์" เป็นตัวตั้ง  จากนั้นก็ถือหลักที่ว่า ปริมาณน้ำที่รับเข้าร่างกาย ที่เหมาะสมต่อคุณก็คือ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" นั้น 

       แต่ถ้าพูดถึงการดื่มน้ำโดยตรง ( แบบว่าเทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม ) คุณจะต้องทานน้ำน้อยกว่านี้ ( คือน้อยกว่า 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" ) เหตุผลก็เพราะว่า ในการทานมื้ออาหารของเราโดยปกติ ก็คือการที่คุณต้องรับน้ำเข้าร่างกายไปบางส่วนอยู่แล้ว ( คือ น้ำที่อยู่ในมื้ออาหาร ) ซึ่งในมื้ออาหารจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 20%


* * * หลักการคำนวณนี้ มา
จากงานวิจัยของสถาบันการแพทย์ของอเมริกา ซึ่งคุณสามารถเข้าไปอ่านได้โดย คลิกที่นี่ 


* * * หลักการคำนวณปริมาณน้ำดื่ม ( แบบเทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม ) คือเอา "0.8 ไปคูณ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์"  /  เพราะอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่แล้วว่า เราได้น้ำจากมื้ออาหาร 20% ของปริมาณน้ำที่เราต้องการในแต่ละวันอยู่แล้ว ดังนั้น ส่วนของน้ำที่เราต้องเทน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มในแต่ละวัน คือปริมาณที่คำนวณมาจากการเอา 0.8 ไปคูณ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" นั่นเอง


* * * แต่การคำนวณข้างบนนี้ เป็นการคำนวณสำหรับผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย


* * * ถ้าคุณเป็นผู้ที่ออกกำลังกาย คุณต้อง "ดื่มน้ำเพิ่มพิเศษอีก 8 ออนซ์ ( แยกต่างหากจากที่คำนวณไว้เมื่อสักครู่นี้ ) สำหรับการออกกำลังกายที่ต้องใช้พละกำลัง ทุกๆ 15 นาที"

       Webmaster - เช่น ถ้าคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายวันละ 15 นาที คุณก็ทานน้ำเพิ่มพิเศษอีก 8 ออนซ์ จากที่คำนวณไว้ตอนแรก  ( คำว่า จากที่คำนวณไว้ตอนแรก ในที่นี้ คือการคำนวณโดยเอา 0.8 ไปคูณ 2 ใน 3 ของตัวเลข "ปอนด์" )

       ถ้าคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายวันละ 30 นาที คุณก็ทานน้ำเพิ่มพิเศษเข้าไปอีก 8 ออนซ์ ( คือรวมเป็น 16 ออนซ์ เพิ่มขึ้น จากที่คำนวณไว้ตอนแรก )

       ถ้าคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายวันละ 45 นาที คุณก็ทานน้ำเพิ่มพิเศษเข้าไปอีก 8 ออนซ์ ( คือรวมเป็น 24 ออนซ์ เพิ่มขึ้น จากที่คำนวณไว้ตอนแรก )


       ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นผู้หญิงที่หนัก 130 ปอนด์ ( 58.9 กก. ) แล้วคุณออกกำลังกายวันละ 45 นาที ตัวเลขที่คำนวณคือ

       ( ( น้ำหนักตัวเป็นปอนด์ x 2/3 ) x 0.80 ) + ( 8 ออนซ์ x 45 นาที ) 

       ในที่นี้คือ 69 + 24 = 93 ออนซ์ ( 93 ออนซ์ นี้คือ ปริมาณน้ำที่ควรดื่มแบบเทใส่แก้วแล้วยกดื่ม ในแต่ละวัน ) Webmaster - ขนาดแก้วที่เราใช้กันทั่วไป จะใส่น้ำได้ประมาณ 8 ออนซ์ นั่นก็หมายความว่า การดื่มน้ำ 93 ออนซ์ต่อวัน ก็คือการดื่มน้ำ 12 แก้วนั่นเอง ( จริงๆแล้วคือ 11.625 แก้ว แต่ปัดทศนิยมขึ้นครับ ) ) 


       ถ้าคุณคิดว่าการดื่มน้ำ ( แบบเทใส่แก้วแล้วยกดื่ม ) จำนวน 93 ออนซ์ มันไม่เหมาะกับคุณ คุณก็สามารถปรับแต่งตามความต้องการได้ เพราะปริมาณการต้องการน้ำ ( แบบเทใส่แก้วแล้วยกดื่ม ) ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ ภูมิอากาศรอบตัวคุณ ( บางที่ภูมิอากาศแห้ง บางที่ภูมิอากาศชื้น ) , อาหารที่คุณทาน ( ว่ามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากน้อยแค่ไหน ) และขึ้นกับชีววิทยาส่วนตัว ( personal biology ) ของคุณ  


- - - - - - - - - ( จบ - ในส่วนของการพิมพ์แทรกครับ ) - - - - - - - - -  



จะรู้ได้อย่างไรว่าเราดื่มน้ำเพียงพอแล้ว?

       ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ให้ดูว่าคุณรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาหรือยัง ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วนั่นก็แสดงว่าคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ...

       "แต่" ขอให้คุณอย่าไปถึงจุดนั้นเลย ( คือไม่ควรต้องรอให้ตัวเองรู้สึกกระหายน้ำเสียก่อน ถึงจะรู้ว่าตัวเองดื่มน้ำไม่เพียงพอ แล้วค่อยดื่มน้ำให้มากขึ้น ) "เพราะ" สำรับคนที่จริงจังในการบริหารร่างกาย คุณควรทำตัวเองให้ห่างไกลจากอาการนี้ 

       ขณะที่กำลังบริหารร่างกายอยู่นั้น เราอาจสูญเสียน้ำได้ถึง 100 ออนซ์ผ่านทางเหงื่อที่ไหลออกมา แต่ปัญหาคือ ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำกลับเข้ามาชดเชยส่วนที่สูญเสียน้ำนั้น ( คือ 100 ออนซ์ ) ได้เพียง 30 ออนซ์เทานั้น 

       ความรู้นี้ ทำให้เรารู้ว่าในขณะที่ออกกำลังอยู่นั้น แม้ว่าเราจะดื่มน้ำมากขนาดไหน เราก็จะรู้สึก "ไม่เพียงพอ"  /  และนี่ก็คือความสำคัญของการที่เราจะต้องดื่มน้ำให้เพียงพอในระหว่างวัน "ไม่ใช่" แค่ไปดื่มมากๆขณะออกกำลัง ( Webmaster - ในทางปฏิบัติก็คือ คุณควรนจะดื่มน้ำในช่วงระหว่างวันให้มากๆ ไม่ใช่คิดว่าจะเอาไว้ดื่มมากๆเฉพาะตอนออกกำลังเท่านั้น เหตุผลก็คือ ขณะออกกำลังกาย ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำกลับมาชดเชยส่วนที่หายไป ( จากการเสียเหงื่อ ) ได้เพียง 30% เท่านั้น - เราก็เลยรู้สึกกระหายน้ำตลอด ( ในขณะออกกำลัง ) แม้ว่าจะพยายามดื่มน้ำให้มากแล้ว )



การดื่มน้ำมากขึ้น มีผลต่อการลดน้ำหนักตัว ! 

       เหตุผลที่การดื่มน้ำให้มากขึ้น แล้วไปทำให้การลดน้ำหนักตัวดีขึ้น นั่นก็คือ การดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญอาการให้ดีขึ้นนั่นเอง  

       ถ้าตีเป็นตัวเลขก็คือ ถ้าคุณดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติ 8 แก้ว จะช่วยลดแคลอรี่ให้มากกว่าปกติได้ 100 แคลอรี่ และการดื่ม น้ำเย็น จะให้ผลที่ดีกว่าการดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้อง


       ยังไม่จบเรื่องลดน้ำหนักตัวนะครับ - การลด "น้ำหนักตัว" โดยรวม จะดีที่สุดถ้าเราสามารถลดปริมาณ "น้ำ" ที่มีอยู่ในตัวลงได้

       คนทั่วไปมักจะคิดว่า ถ้าต้องการลดปริมาณน้ำที่อยู่ในตัวลง ก็คือการดื่มน้ำให้น้อยลง 

       "แต่" ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงคือ ยิ่งคุณดื่มน้ำมากเท่าไร ก็จะทำให้ปริมาณน้ำที่อยู่ในตัว ลดลง ! 


       ยังมีเหตุผลดีๆสำหรับการลดน้ำหนักตัวที่ทำให้คุณจำเป็นต้องมีขวดน้ำวางอยู่ใกล้ๆตัวตลอดเวลา นั่นคือความรู้ที่ว่า  อาการของ "การขาดน้ำ" คือ

       1. ปวดศรีษะ

       2. เหนื่อยง่าย

       3. ฟุ้งซ่าน 


       ส่วนอาการของ "ความหิว" คือ

       1. ปวดศรีษะ

       2. เหนื่อยง่าย

       3. ฟุ้งซ่าน 


       จะเห็นได้ว่ามันเป็นอาการเดียวกันเลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าเราแก้ "อาการขาดน้ำ" ได้ ก็คือการที่เราสามารถแก้ "อาหารหิว" ได้  

       ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ถ้าเรารู้สึกหิว แทนที่เราจะแก้ "อาการหิว" ด้วยการไปหาของว่างกิน ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นการดื่มน้ำ ( เหมือนตอนที่เรากำลังแก้ "อาการขาดน้ำ" ) แทน 


Note : การดื่มน้ำ 2 - 3 แก้วก่อนมื้ออาหาร จะช่วยทำให้คุณอยากอาหารน้อยลง ซึ่งเป็นผลดีต่อการลดน้ำหนักของคุณ  


ข้างบนนี้ อ้างอิงจาก : https://www.bodybuilding.com/fun/water_calculator.htm?utm_medium=email&utm_content=12-03-Evening-INT&utm_campaign=12-03-Evening-INT&utm_source=Braze&utm_term= 


- จบ -

Thursday, November 18, 2021

Deltoid Raise

 

Deltoid Raise



       เมื่อหนังสือต้นฉบับพูดสั้นๆแค่ว่า ให้บริหารด้วยท่า Deltoid Raise โดยที่ไม่บอกรายละเอียดอื่นๆเลย  นั่นก็หมายความว่า

* * * เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่  ซึ่งกล้ามเนื้อหัวไหล่จะมีอยู่ 3 หัว คือ       

       1. กล้ามหัวไหล่ด้านหน้า ( Front Deltoids )

       2. กล้ามหัวไหล่ด้านข้าง ( Side Deltoids )

       3. กล้ามหัวไหล่ด้านหลัง ( Rear Deltoids ) 


       คือหมายความว่า ถ้าหนังสือต้นฉบับพูดว่าให้บริหารด้วยท่า Deltoid Raise ก็คือ เขาไม่ได้เน้นว่าให้บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ส่วนใด คือไม่ได้บอกว่าบริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ด้านหน้า , ด้านข้าง หรือด้านหลัง


* * * มีขั้นตอนการปฏิบัติคือ ในตอนแรก ผู้บริหารจะถือ "ตัวต้านทาน" ไว้ในมือก่อน  /  จากนั้น ผู้บริหารจะต้องออกแรงไปที่ กล้ามหัวไหล่ เพื่อ "ยกแขนขึ้น"  /  และเมื่อยกแขนขึ้นจนสุดแล้ว จึงค่อยผ่อนแขนลง ทั้งหมดนี้ เรียกว่า "1 Rep"


* * * คำว่า "ตัวต้านทาน" ในที่นี้ จะเป็น ดัมเบลล์ หรือ เคเบิล หรือ บาร์เบลล์ ก็ได้


* * * ท่าที่มีองค์ประกอบเหล่านี้ จึงจะถูกเรียกว่า Deltoid Raise


* * * นั่นก็หมายความว่า หากต้นฉบับบอกว่า ให้บริหารด้วยท่า Deltoid Raise ก็หมายความว่า ผู้บริหารจะ "ยืนหรือนั่ง" ก็ได้  /  ใช้ "ดัมเบลล์ หรือ เคเบิล หรือ บาร์เบลล์" ก็ได้  /  บริหารด้วย "แขนทีละข้าง" หรือ "พร้อมกันทั้ง 2 แขนก็ได้" นั่นเอง ( ขอให้มีองค์ประกอบครบตามที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ก็พอ ) 


* * * สรุปว่า เมื่อพูดว่า ให้บริหารด้วยท่า Deltoid Raise ก็คือให้บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ โดยใช้การบริหารในท่าข้างล่างนี้



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

กลุ่มที่ 1 : บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ด้านหน้า

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     


 ยกดัมเบลล์ขึ้นทางด้านหน้า "ทีละข้าง" บริหารท่า  Alternating Dumbbell Front Raise 


ยกเคเบิลขึ้นทางด้านหน้า "ทีละข้าง" บริหารท่า  Cable Front Raise 


 "หงายมือ" ยก EZ บาร์ขึ้นทางด้านหน้า "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" บริหารท่า  Front Raise with EZ-Bar and Underhand Grip


"คว่ำมือ" ยกบาร์เบลล์ขึ้นทางด้านหน้า "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" บริหารท่า  Barbell Front Raise


ยกเคเบิลขึ้นทางด้านหน้า "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" บริหารท่า  Front Raise with Lat-Machine Bar on Cable Station 



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

กลุ่มที่ 2 : บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ด้านข้าง

ข้างล่างนี้ ) 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     


"นอน" บริหารหัวไหล่ "ทีละข้าง" ด้วยดัมเบลล์ บริหารท่า  Lying Side Lateral 


"ยืน" บริหารหัวไหล่ "ทีละข้าง" ด้วยดัมเบลล์ บริหารท่า  One Arm Side Lateral Raise


"นั่ง" บริหารหัวไหล่ "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" ด้วยดัมเบลล์ บริหารท่า  Seated Side Lateral Raise 


"ยืน" บริหารหัวไหล่ "ทีละข้าง" ด้วยเคเบิล บริหารท่า  Side Lateral Raise with Cable 


 "ยืน" บริหารหัวไหล่ "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" ด้วยดัมเบลล์ บริหารท่า  Side Lateral Raise  



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

กลุ่มที่ 3 : บริหารกล้ามเนื้อหัวไหล่ด้านหลัง

ข้างล่างนี้ ) 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     

"ก้มตัว" ยกดัมเบลล์ "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" บริหารท่า  Bent - Over Lateral Raise  

 
"
ก้มตัว" ดึงเคเบิล "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" บริหารท่า Bent - Over Cable Lateral Raise 


"นั่ง" "ก้มตัว" ยกดัมเบลล์ "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" บริหารท่า  Seated Bent Over Rear Delt Raise 


"ใช้ม้าเอียง" ยกดัมเบลล์ "พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง" บริหารท่า  Incline Side Lateral Raise


"ใช้ม้าเอียง" ยกดัมเบลล์ "ทีละข้าง" บริหารท่า  Incline Prone Single Arm Dumbbell Front Raise


"ใช้ม้าเอียง" ยกบาร์เบลล์ขึ้นข้างหน้า "พร้อมกัน 2 ข้าง" บริหารท่า  Incline Front Raise with Barbell  


- จบ -

Wednesday, November 17, 2021

Neck - คอ

 

Neck

คอ



       คอ เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายในสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีรยางค์หลายชนิด เป็นโครงสร้างที่แยกศีรษะออกจากลำตัว


กายวิภาคศาสตร์ของคอมนุษย์

* * * เนื้อเยื่อกระดูก: กระดูกสันหลังส่วนคอ 

       กระดูกสันหลังส่วนคอมีทั้งหมด 7 ชิ้น เรียงตามลำดับตั้งแต่บนลงล่าง C-1 ถึง C-7 โดยมีแผ่นกระดูกอ่อนอยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละชิ้น

       คอทำหน้าที่รับน้ำหนักของศีรษะและปกป้องเส้นประสาทซึ่งนำข้อมูลรับความรู้สึกและสั่งการจากสมองลงไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

       นอกจากนี้คอยังมีความยืดหยุ่นซึ่งทำให้สามารถหมุนและงอได้ในหลายทิศทาง

       กระดูกสันหลังส่วนคอทั้งเจ็ดชิ้นจะเรียงตัวโค้งแอ่นมาทางด้านหน้าเล็กน้อย 

       ส่วนโค้งของกระดูกสันหลังบริเวณคอนี้มีลักษณะโค้งน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับส่วนโค้งของกระดูกสันหลังอื่นๆ 


* * * กายวิภาคศาสตร์เนื้อเยื่ออ่อน 

       เมื่อคลำในแนวกลางใต้ต่อคางจะสามารถสัมผัสตัวของกระดูกไฮออยด์ ( hyoid bone ) ใต้ลงไปจะเป็นส่วนนูนของกระดูกอ่อนไทรอยด์ ( thyroid cartilage ) ซึ่งเรียกว่า "ลูกกระเดือก" ( Adam's apple ) ซึ่งจะเด่นชัดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

       ใต้ลงไปเป็นกระดูกอ่อนไครคอยด์ ( cricoid cartilage ) ซึ่งสามารถคลำได้

       ระหว่างกระดูกอ่อนไครคอยด์และรอยเว้าซุปปราสเตอร์นัล ( suprasternal notch ) คือท่อลม ( trachea ) และส่วนคอดของต่อมไทรอยด์ ( isthmus of the thyroid gland )

       ด้านข้างเป็นแนวของกล้ามเนื้อสเตอร์โนไคลโดมาสตอยด์ ( Sternocleidomastoid muscle ) ซึ่งเป็นจุดหลักที่สำคัญที่แบ่งระหว่างพื้นที่สามเหลี่ยมลำคอด้านหน้า ( anterior triangle of neck ) และพื้นที่สามเหลี่ยมลำคอด้านหลัง ( posterior triangle of neck )

       ส่วนบนของพื้นที่สามเหลี่ยมลำคอด้านหน้ามีต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรหรือต่อมซับแมนดิบูลาร์ ( submandibular gland ) ซึ่งวางตัวอยู่ใต้ครึ่งหลังของตัวขากรรไกรล่าง

       การหาแนวของหลอดเลือดแดงคอมมอนคาโรติด ( common carotid artery ) และหลอดเลือดแดงเอกซ์เทอร์นัลคาโรติด ( external carotid artery ) ทำได้โดยลากเส้นเชื่อมระหว่างข้อต่อสเตอร์โนคลาวิคิวลาร์ ( sterno-clavicular articulation ) ไปยังมุมกรามล่าง

       เส้นประสาทสมองคู่ที่ 11 หรือเส้นประสาทแอคเซสซอรี ( accessory nerve ) สัมพันธ์กับเส้นที่ลาก จากจุดกึ่งกลางระหว่างมุมของขากรรไกรล่างและปุ่มกกหู ไปยังกึ่งกลางของขอบด้านหลังของกล้ามเนื้อสเตอร์โนไคลโดมาสตอยด์ แล้วลากข้ามพื้นที่สามเหลี่ยมลำคอด้านหลังไปยังพื้นผิวชั้นลึกของกล้ามเนื้อทราพีเซียส ( trapezius )

       หลอดเลือดดำคอชั้นนอก ( external jugular vein ) สามารถเห็นได้ง่ายจากผิวหนัง หลอดเลือดดำนี้จะทอดตัวในแนวเส้นที่ลากจากมุมขากรรไกรล่างไปยังกึ่งกลางของกระดูกไหปลาร้า ( clavicle )

       ใกล้ๆ กันนั้นจะมีต่อมน้ำเหลืองขนาดเล็ก

       ส่วนหลอดเลือดดำแอนทีเรียร์จูกูลาร์ ( anterior jugular vein ) จะมีขนาดเล็กกว่า วิ่งลงมาประมาณครึ่งนิ้วห่างจากเส้นกึ่งกลางคอ กระดูกไหปลาร้าเป็นขอบเขตล่างสุดของคอ

       ส่วนด้านข้างของคอจะมีลักษณะโค้งชันออกด้านนอกเล็กน้อยไปยังไหล่เนื่องจากมีกล้ามเนื้อทราพีเซียสอยู่ 


การบาดเจ็บที่คอ

       ความผิดปกติของคอเป็นสาเหตุหลักของการปวดคอ

       คอเป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่หลากหลายแต่ก็รับความเค้นสูง

       สาเหตุหลักๆ ของอาการปวดคอ ( และอาการปวดบริเวณอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การปวดที่ลามมาที่แขน ) ได้แก่

* * * อาการปวดคอ ( Whiplash ) จากความเครียดของกล้ามเนื้อหรือการบาดเจ็บของเนื้อเยื่ออ่อนอื่นๆ 

* * * หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ( Cervical herniated disc ) 

* * * การตีบของสันหลังส่วนคอ ( Cervical spinal stenosis ) 

* * * กระดูกข้อต่ออักเสบ ( Osteoarthritis ) 

* * * อาการปวดเนื่องจากหลอดเลือด เช่น การกัดเซาะของหลอดเลือดแดง ( arterial dissections ) หรือภาวะหลอดเลือดดำคอชั้นในมีลิ่มเลือด ( internal jugular vein thrombosis ) 


- จบ -

Torso - ลำตัว

 

Torso

ลำตัว



      ลำตัว ( Torso หรือ trunk ) เป็นศัพท์ที่เรียกส่วนตรงกลางของร่างกายสัตว์หลายชนิด ( รวมถึงมนุษย์ ) ซึ่งมีรยางค์และลำคอที่ยื่นออกไป 

       ลำตัวประกอบด้วยอก ( thorax ) และท้อง ( abdomen ) 


อวัยวะที่สำคัญ

       อวัยวะที่สำคัญหลายชิ้นอยู่ภายในลำตัว ในช่องอกจะมีหัวใจและปอดซึ่งมีกระดูกซี่โครงคอยปกป้องอยู่

       และส่วนช่องท้องจะมีอวัยวะที่สำคัญต่อการย่อยอาหาร เช่น ตับทำหน้าที่ผลิตน้ำดีซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหาร ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร ทวารหนักซึ่งทำหน้าที่ขับถ่ายอุจจาระ

       ไส้ตรง ( rectum ) ทำหน้าที่กักอุจจาระก่อนขับถ่าย ถุงน้ำดีซึ่งเก็บน้ำดีและช่วยให้น้ำดีเข้มข้นขึ้น ท่อไต ( ureter ) เป็นทางผ่านของปัสสาวะไปยังกระเพาะปัสสาวะที่ทำหน้าที่เก็บปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ ( urethra ) ซึ่งเป็นทางผ่านของปัสสาวะและน้ำอสุจิผ่านถุงน้ำอสุจิ ( seminal vesicle ) และเชิงกรานซึ่งเป็นที่อยู่ของอวัยวะเพศชายและหญิง 


กลุ่มกล้ามเนื้อหลัก

       ลำตัวเป็นที่อยู่ของกล้ามเนื้อกลุ่มสำคัญๆ ของร่างกาย เช่น 

* * * กลุ่มกล้ามเนื้อหน้าอก ( pectoral muscles ) 

* * * กลุ่มกล้ามเนื้อท้อง ( abdominal muscles ) 

* * * กล้ามเนื้อแลททิสซิมุส ดอร์ไซ ( lateral muscle ) 


เส้นประสาทที่เลี้ยง

       อวัยวะและกล้ามเนื้อต่างๆ ถูกเลี้ยงด้วยเส้นประสาทหลายเส้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเส้นประสาทกระดูกสันหลังส่วนอก ตัวอย่างเช่นเส้นประสาทชั้นผิวหนังมาจาก 

* * * แขนงประสาทผิวหนังด้านท้อง ( Ventral cutaneous branches ) 

* * * แขนงประสาทผิวหนังด้านข้าง ( Lateral cutaneous branches ) 

* * * แขนงประสาทผิวหนังด้านหลัง ( Dorsal cutaneous branches ) 


- จบ -

Monday, November 1, 2021

Barbell Bar - คานบาร์เบลล์เปล่า

 

Barbell Bar

คานบาร์เบลล์เปล่า

( คานบาร์เบลล์เปล่าส่วนตัว ที่ใช้ในการออกแบบตารางฝึก )



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

คานบาร์เบลล์ บริหารท่า Bench Press  

ข้างล่างนี้ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  


ภาพบน )

1. คานบาร์เบลล์ มี 
น้ำหนักทั้งหมด 7.2 กก.


2. คานบาร์เบลล์ทั้งหมด ยาว 140 ซม.

 ( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี 
ปีกกาสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 


3. พื้นที่สำหรับมือจับ ยาว 95 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี 
ปีกกาสีเขียว ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ )



ภาพบน )

1. พื้นที่สำหรับ ใส่แผนบาร์เบลล์ ยาว 20 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 


2. ตัวกั้น ระหว่างที่สำหรับ ใส่แผ่นบาร์เบลล์ 

กับที่สำหรับ มือจับ ยาว 2.5 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีเขียว ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

คานบาร์เบลล์ บริหารท่าอื่นๆ

( ที่ ไม่ใช่ ท่า Bench Press )


ข้างล่างนี้ ) 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  


ภาพบน )

1. คานบาร์เบลล์ มี น้ำหนักทั้งหมด 6 กก.


2. คานบาร์เบลล์ทั้งหมด ยาว 150 ซม.

 ( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 


3. พื้นที่สำหรับมือจับ ยาว 98 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีเขียว ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 




ภาพบน )

1. พื้นที่สำหรับ ใส่แผนบาร์เบลล์ ยาว 23 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 


2. ตัวกั้น ระหว่างที่สำหรับ ใส่แผ่นบาร์เบลล์ 

กับที่สำหรับ มือจับ ยาว 3 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีเขียว ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

คาน EZ บาร์เบลล์ 

( อ่านว่า อี - ซี่ บาร์เบลล์ นะครับ )

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  



ภาพบน )

1. คานบาร์เบลล์ มี น้ำหนักทั้งหมด 5 กก.


2. คาน EZ บาร์เบลล์ทั้งหมด ยาว 120 ซม.

 ( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 


3. พื้นที่สำหรับมือจับ ยาว 80 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีเขียว ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 



ภาพบน )

1. พื้นที่สำหรับ ใส่แผนบาร์เบลล์ ยาว 19 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 


2. ตัวกั้น ระหว่างที่สำหรับ ใส่แผ่นบาร์เบลล์ 

กับที่สำหรับ มือจับ ยาว 1 ซม.

( ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีเขียว ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้ ) 



- จบ -