ไขมันสีน้ำตาล ทางออกของการลดน้ำหนัก
ปัจจุบันปัญหาโรคอ้วนในมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดจากสถิติองค์การอนามัยโลก ( WHO ) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ถึงปัจจุบันที่ประชากรทั่วโลกมีปัญหาน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเพิ่มสูงขึ้นเกือบสามเท่า คิดเป็น 52% ของประชากรทั้งหมด เช่นเดียวกับประเทศไทยที่พบคนอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน สูงเป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะกลุ่มประชากรเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร มีอัตราน้ำหนักเกินสูงถึง 50% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ
ถึงแม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้คำแนะนำการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์, การรับประทานอาหาร, การออกกำลังกายและคิดค้นยารักษาเพื่อช่วยแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สามารถลดจำนวนประชากรที่ประสบปัญหาน้ำหนักเกินได้ โรคอ้วนมีสาเหตุมาจากพลังงานที่ร่างกายได้รับเข้ามามากกว่าพลังงานที่ถูกใช้ออกไป ทำให้พลังงานที่เกินจากความต้องการถูกเก็บสะสมอยู่ในรูปของเซลล์ ไขมันสีขาว ( White adipose tissue ) ซึ่งมักสะสมอยู่บริเวณสะโพก ต้นขา ต้นแขน และที่สำคัญคือบริเวณช่องท้อง ( Visceral fat ) ทำให้เส้นรอบเอวของเราขนาดใหญ่ขึ้น หรือที่เราเรียกว่าอ้วนลงพุง ซึ่งไขมันในช่องท้องนี้เองเป็นส่วนที่อันตรายที่สุดเพราะนำไปสู่ความเสี่ยงต่อภาวะเมแทบอลิกซินโดรม ( Metabolic Syndrome ) สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ( Non-communicable diseases; NCDs ) อีกมากมาย
นอกจากเซลล์ไขมันสีขาวแล้ว หลายท่านทราบหรือไม่ว่าเรายังมีเซลล์ไขมันอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ไขมันสีน้ำตาล ( Brown adipose tissue ) ที่มีลักษณะและทำงานตรงข้ามกับไขมันสีขาว ไขมันชนิดนี้จะมีสีแดงเข้มออกน้ำตาลเนื่องจากมี ธาตุเหล็กในไมโทคอนเดรีย เส้นเลือด เส้นประสาท และมีโปรตีนจำเพาะที่พบเฉพาะไขมันสีน้ำตาล คือ Uncoupling protein1 ( UCP1 )จำนวนมาก ทำให้เราพบไขมันสีน้ำตาลนี้ตามแนวแกนกลางลำตัว เช่น คอ รอบกระดูกสันหลัง พบมากในวัยเด็กและลดลงเรื่อยๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น เซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำหน้าที่สำคัญในการเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลและไขมัน ( Energy catabolism ) และผลิตความร้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกาย ดังนั้นคนที่มีปริมาณไขมันสีน้ำตาลมากจะสามารถเผาผลาญพลังงาน และทนความหนาวเย็นได้นานกว่านั่นเอง
ไขมันสีน้ำตาลได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะอาจตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ แม้ว่าเซลล์ไขมันสีน้ำตาลแม้จะพบเพียง 50 กรัม หรือน้อยกว่า 0.1% ของน้ำหนักตัว แต่ถ้าเซลล์ไขมันสีน้ำตาลถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างเต็มที่จะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ถึง 20% ของการใช้พลังงานของร่างกายต่อวัน ในขณะที่เซลล์ไขมันสีขาวสะสมในร่างกายได้มากถึง 50% ของน้ำหนักตัวในผู้ใหญ่ที่ได้รับพลังงานมากเกินไป ทำให้ไขมันทั้ง 2 ชนิด จึงทำหน้าที่ตรงข้ามกันนั้นเอง
แม้ว่าไขมันสีน้ำตาลที่มีมากในวัยเด็กจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ แต่ดูเหมือนว่ายังมีทางออกในการกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาล รวมทั้งเปลี่ยนไขมันสีขาวให้เป็นไขมันสีน้ำตาลอีกด้วย
เราจะเพิ่มไขมันสีน้ำตาล ได้อย่างไร?
กินให้ถูกต้อง
* * * การกินที่ไม่น้อยหรือมากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย กระตุ้นให้ไขมันสีน้ำตาลเผาผลาญพลังงานอย่างเป็นปกติ และรักษามวลกล้ามเนื้อในร่างกายให้คงที่
รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
* * * คนอ้วนตรวจพบปริมาณไขมันสีน้ำตาลน้อยกว่าคนที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า และประสิทธิภาพการทำงานยังน้อยกว่าด้วย มีการศึกษาพบว่า เมื่อผู้ป่วยโรคอ้วนมีน้ำหนักลดลง สามารถทำให้การทำงานของไขมันสีน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นได้
เพิ่มการออกกำลังกาย
* * * โปรตีนไอริซิน ( Irisin ) สามารถเปลี่ยนไขมันสีขาวเป็นไขมันสีน้ำตาลได้ ซึ่งในกลุ่มคนที่ออกกำลังกายมีการสร้างโปรตีนชนิดนี้สูงกว่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว และปริมาณไอริซิน เพิ่มขึ้นเมื่อออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา ( High intensity interval training; HIIT ) คือการออกกำลังกายสลับกับพักอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้อยู่กับความพร้อมของร่างกายแต่ละบุคคล ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
การปรับอากาศให้เย็นขึ้น
* * * การปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาพอากาศเย็น ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ไขมันสีน้ำตาลมีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
* * * เพิ่มการรับประทาน พริก เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า เนื่องจากมีสารแคปไซซิน ( Capsaicin ) และแคปซินอยด์ ( Capsinoids ) สามารถกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาลได้ อีกทั้งมีงานวิจัยที่ศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าสารกลุ่มโพลีฟีนอล ( Polyphenols ) ได้แก่ เคอร์คิวมิน ( Curcumin ) จากขมิ้นชัน สารสกัดเรสเวอราทรอล ( Resveratrol ) จากเปลือกองุ่น มัลเบอร์รี่ สามารถทำให้อุณหภูมิพื้นฐานของร่างกายสูงขึ้นได้
การเพิ่มปริมาณและการทำงานของไขมันสีน้ำตาลอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเข้ามาช่วยแก้ปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินได้ แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ทานผักอย่างน้อย 50%ของจาน, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับเราทุกคนที่ยังคงต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ป้องกันการเกิดโรคอื่นๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต
----------------------------------------------
แหล่งที่มา
1. จิตรวีณา มหาคีตะ. The Update of Brown Adipose Tissue in Adult Human: Possible Target to Battle Obesity?. Royal Thai Army Medical Journal. 2013:83-92.
2. Lee P, Smith S, Linderman J, Courville AB, Brychta RJ, Dieckmann W, Werner CD, Chen KY, Celi FS. Temperature-acclimated brown adipose tissue modulates insulin sensitivity in humans. Diabetes. 2014 Nov 1;63(11):3686-98.
3. Maalouf GE, El Khoury D. Exercise-induced irisin, the fat browning myokine, as a potential anticancer agent. Journal of obesity. 2019;2019.
4. El Hadi H, Di Vincenzo A, Vettor R, Rossato M. Food ingredients involved in white-to-brown adipose tissue conversion and in calorie burning. Frontiers in physiology. 2019 Jan 11;9:1954.
5. Townsend K, Tseng Y-H. Brown adipose tissue: Recent insights into development, metabolic function and therapeutic potential. Adipocyte. 2012;1(1):13-24.