Friday, May 15, 2020

Cream of Wheat



Cream of Wheat


ครีมข้าวสาลีคืออะไร? 

       หากคุณเคยขลุกอยู่ในโลกกว้างของโจ๊กคุณคงเคยได้ยินเกี่ยวกับครีมข้าวสาลี แต่ Cream of Wheat คืออะไรและอะไรคือความแตกต่างระหว่าง Cream of Wheat และข้าวโอ๊ตบด? เป็นคำถามที่คุณถามตัวเองหลายครั้งอย่างแน่นอน! เริ่มจากส่วนแรก: ในทำนองเดียวกับที่คลีเน็กซ์เป็นชื่อตราสินค้าสำหรับเนื้อเยื่อ Cream of Wheat เป็นชื่อแบรนด์ของแป้ง และแป้งคืออะไร ตามที่ Red Mill ของ Bob ซึ่งผลิตข้าวสาลีสีขาวของตัวเองมันเป็นข้าวสาลีที่ผ่านการขัดสีแล้ว "ผลิตขึ้นโดยการแตกเมล็ดเบา ๆ จากนั้นทำให้อากาศบริสุทธิ์เพื่อกำจัดอนุภาครำข้าวที่มีน้ำหนักเบาที่สุด 

       ตอนนี้คุณได้ย่อยคำว่า "endosperm" ( คำศัพท์ทางพฤกษศาสตร์ที่น่าขนลุกสำหรับ "ส่วนของเมล็ดที่เก็บอาหาร" ) มาต่อไป เอนโดสเปิร์มเป็นส่วนเดียวกันของเมล็ดข้าวสาลีที่ใช้ทำพาสต้าดังนั้นแป้งจึงค่อนข้างละเอียด เมื่อปรุงสุกบนเตาตั้งพื้นด้วยน้ำหรือนมแป้งจะกลายเป็น "โจ๊กครีมรสกลมกล่อมหวาน" เขียนคนที่ Bob's Red Mill ในทางตรงกันข้ามกับพื้นผิวของข้าวโอ๊ตซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นด้าน chunkier และ chewier ข้าวโอ๊ตทำด้วยข้าวโอ๊ตมากกว่าข้าวสาลีซึ่งอาจเป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองประเภทของธัญพืชร้อนและแม้ว่าข้าวโอ๊ตสามารถเป็นตังฟรี, ครีมข้าวสาลีเป็นเกือบนิยามโดยเต็มไปด้วยกลูเตน 

       การทำซีเรียลร้อนกับแป้งไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่อย่างใดและไม่เป็นครีมข้าวสาลี Cream of Wheat แบรนด์จริงเริ่มต้นในปี 1893 ที่โรงโม่แป้งขนาดเล็กใน Grand Forks, North Dakota จากข้อมูลของ B&G Foods ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของ Cream of Wheat ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดย Tom Amidon ผู้ผลิตหัวซึ่งต้องการสร้างโจ๊กอาหารเช้า "ข้าวต้ม" ของ Amidon เป็นส่วนหนึ่งของข้าวสาลีที่นำมาจากม้วนแป้งก้อนแรกของโรงโม่แป้ง "อธิบายคนที่ B&G Foods "เรียกได้ว่าเป็น 'ชั้นบนสุดของลำธาร' นี่คือที่มาของแป้งระดับสูงสุด" ดังนั้นชื่อ Cream of Wheat ซีเรียลร้อนนำออกและส่วนที่เหลือเป็นประวัติอาหารเช้า 

       ทุกวันนี้ครีมข้าวสาลีอุดมไปด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตและเฟอริกฟอสเฟตซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารและทำให้เป็นแหล่งของทั้งแคลเซียมและธาตุเหล็ก ( แม้ว่าข้าวโอ๊ตปรุงสุกจะมีแคลเซียมและเหล็กมากกว่าถ้วยครีมข้าวสาลีที่ปรุงสุกแล้วก็ตามตามข้อมูลฐานข้อมูลสารอาหารแห่งชาติของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ )

       แต่คุณสามารถทาน Cream of Wheat ได้ทั้งหวานน้ำตาลเล็กน้อยหรือน้ำเชื่อมเมเปิ้ลนิดหน่อยหรือเผ็ดด้วยเนยเกลือหรือแม้แต่ชีส ( Kat Kinsman ของเราเองอาจแนะนำให้คุณใส่ซอสร้อนลงไป ) คุณสามารถทำ Cream of Wheat ด้วยน้ำหรือนมก็ได้ เหมือนกับโจ๊กอื่น ๆ มันเป็นจานที่สามารถปรับให้เข้ากับสิ่งที่คุณชอบได้ซึ่งหมายความว่า Cream of Wheat สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - -  


       Cream of Wheat เป็นอาหารเข้าประเภทข้าวต้น ( Porridge ) แบบผสม ที่ทำมาจากข้าวสาลี 

       อาหารชนิดนี้ จะดูคล้าย กริทส์ ( Grits ) แต่เนื้อจะละเอียดกว่ากริทส์ เพราะ Cream of Wheat ทำจากข้าวสาลีบดละเอียด ในขณะที่กริทส์ จะทำจาก "ข้าวโพด" บด


     Cream of Wheat ยี่ห้อนี้ ผลิตในอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2436 ( ค.ศ.1893 ) ที่โรงสีข้าวสาลี ที่ Grand Forks , North Dakota  และเปิดตัวในงาน 1983 World's Columbian Expostition ที่รัฐอิลินอยส์

       "ก่อน" เดือนมกราคม พ.ศ.2550 ( ค.ศ.2007 ) อาหารเช้ายี่ห้อนี้ เป็นของนาบิสโก ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Kraft Foods

       แต่ "หลัง" เดือนมกราคม พ.ศ.2550 ( ค.ศ.2007 ) เป็นต้นมา 
ก็เป็นของบริษัท B&G Foods


การเตรียม Cream of Wheat 

       แกะกล่องแล้วเท Cream of Wheat ลงในหม้อ จากนั้น ก็เทน้ำเดือดหรือนมใส่ลงไป  ขณะปรุงนั้น เนื้อของอาหารจะเริ่มจับตัวกัน  ผู้ปรุงต้องพยายามกวนบ่อยๆ

       การใช้นมแทนน้ำ จะทำให้อาหารรสชาติเหมือนครีม

       ในตลาดสหรัฐอเมริกา ยี่ห้อนี้ ถ้าเป็นแบบ "รสจืด" จะมีอยู่ 3 แบบ คือ แบบใช้เวลาปรุง 10 นาที ,แบบใช้เวลาปรุง 2 นาทีครึ่ง และแบบใช้เวลาปรุง 1 นาที

       ในตลาดแคนาดา ก็จะเป็นแบบ "รสจืด" เหมือนกัน แต่จะมีอยุ่แค่ 2 แบบ คือ แบบที่ใช้เวลาปรุง 8 นาที และแบบที่ใช้เวลาปรุง 3 นาที 

       
สำหรับ Cream of Wheat  แบบ "รสจืด" นั้น เราสามารถปรับแต่งรสชาติด้วยการใส่น้ำตาล หรือผลไม้ หรือถั่ว  /  อย่างไรก็ตาม Cream of Wheat  ก็มีรสชาติสำเร็จรูป ออกมาให้เลือก ( คือไม่ต้องใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเลย เพราะมันสำเร็จรูปมาอยู่แล้ว ) ซึ่งได้แก่รส  Apples 'N' Cinnamon ,Maple Brown Sugar ,Strawberries 'N' Cream และ Cinnamon Swirl  /  โดยในเดือนตุลาคม พ.ศ.2555 ( ค.ศ.2012 ) ทางบริษัท ได้ทำ  Cream of Wheat รสช็อคโกแลตออกมาด้วย  /  และต่อมา ก็มีรส Bananas & Cream ตามออกมา


การออกแบบรรจุภัณฑ์  

       กล่องดั้งเดิมของ Cream of Wheat นั้นเขียนด้วยมือ มีแต่ตัวหนังสือ ต่อมาภายหลัง ก็มาตกแต่งเป็นภาพของพ่อครัวเชื่อสาย อาฟริกัน - อเมริกัน

       ตัวจริงของพ่อครัวคนนี้ชื่อ Rastus  ส่วนศิลปินผู้วาดคือ Edward V. Brewer 

       Rastus จะปรากฏภาพอยู่บนกล่องทุกกล่อง และถูกใช้มาจนถึงทุกวันนี้


ระบบการตลาด   

       เป็นของ N.C. Wyeth, J.C. Leyendecker & Henry Hutt all created ads for the Cream of Wheat brand


- END -

Tuesday, May 12, 2020

Dressing

Dressing

       แม้ว่าสลัดผักจะเป็นเมนูสุขภาพ แต่สิ่งที่สำคัญคือน้ำสลัดที่เราทานคู่กับผักเพื่อเพิ่มรสชาตินั้น  เพราะน้ำสลัดจะเป็นตัวบอกได้ว่า สลัดผักนั้นเป็นอาหารสุขภาพมากน้อยเพียงใด น้ำสลัดมีหลายชนิด แต่แบ่งง่ายๆเป็นน้ำสลัดน้ำข้นที่เรียกว่า มายองเนส ( Mayonnaise ) และน้ำสลัดน้ำใส ( French Dressing ) มีส่วนประกอบสำคัญคือ น้ำมันพืช ,ไข ( น้ำข้น ) ,น้ำตาลทราย ,เกลือ ,น้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู ,มัสตาร์ดและพริกไทยป่น

       โดยทั่วไปน้ำสลัดจะมีรสชาติ เปรี้ยว หวาน และเค็มเล็กน้อย แต่ควรปรุงให้มีรสจัดสำหรับรับประมานกับผักหรืออื่นๆ

       น้ำสลัดแต่ละชนิดจะมีส่วนผสมและคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน  ในครั้งนี้ มีข้อมูลเกี่ยวกับน้ำสลัดมาฝากดังนี้ 

1.น้ำสลัดครีม ( Mayonnaise )

       สลัดครีมที่ทั้งข้น ทั้งหวาน และเป็นที่คุ้นเคยและหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดนั้น ประกอบด้วย น้ำส้มสายชู ,น้ำมันพืชหรือน้ำมันสลัด ,มายองเนส ,มัสตาร์ด และน้ำตาล

       โดยน้ำสลัดครีม ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 70 - 100 กิโลแคลอรี  จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ และผู้ที่มีน้ำหนักเกิน


2.น้ำสลัด เทาซัน ไอร์แลนด์ ( Thousand Island Dressing )

       เป็นน้ำสลัดที่มีส่วนผสมและลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำสลัดครีม  เพียงแต่มีการเติมส่วนผสมของมะเชือเทศเพิ่มเข้าไป  ทำให้มีสีส้มอมชพูด  และมีรสชาติหอมมันเปรี้ยวนิดๆ

       บางสูตรเน้นการปรุงด้วยเครื่องดองแบบฝรั่ง คือ มะกอก และแตงกวาดอง

       มีการใส่ไข่ต้มสับ เพื่อเพิ่มความมัน

       น้ำสลัดปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 80 กิโลแครอลี จึงต้องมีการจำกัดปริมาณในการรับประทาน และควรเลือกเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำมารับประทานควบคู่ด้วย  


3.น้ำสลัดซีซาร์ ( Caecsar Salad Dressing )

       เป็นน้ำสลัดที่มีลักษณะสีขาวข้น  ประกอบด้วยน้ำมันเมล็ดองุ่น หรือน้ำมันมะกอก ,กระเทียมสับ ,น้ำมะนาว ,ไข่ไก่ ,มายองเนส ,เกลือ ,ปราร้าฝรั่ง ( Anchovy ) ,น้ำเชื่อม และ พาเมซานชีส 

       ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานประมทาณ 80 กิโลแครอลี่  ควรระวังการใส่เบคอน หรือ กรูดอง ( ขนมปังเนย อบกรอบ เป็นชิ้นเล็กๆ ) มากไป อาจได้รับพลังงานเกินได้ 

       น้ำสลัดชนิดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่าบงมาก และเหมาะสำหรับเด็กๆที่ไม่ชอบรับประทานผักอย่างเดียว


4.น้ำสลัดอิตาเลี่ยน ( Italian Salad Dressing )

       เป็นน้ำสลัดแบบใส  ประกอบด้วยน้ำมันมะกอก ,น้ำส้มสายชู ,น้ำมะนาว ,กระเทียม ,หัวหอม ซึ่งบางสูตรอาจเติมพริกไทยดำ และใบโหระพาสับ เพื่อเพิ่มความร้อนแรง

       ในปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 43 กิโลแครอลี่ หากอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก ควรเลือกแบบ Light Italian เพราะพลังงานจะลดลงมาก เหลือประมาณ 17 แคลอรี่ต่อช้อนโต๊ะเท่านั้น

       เป็นน้ำสลัดที่มีคุณค่าทางอาหารที่ดีต่อร่างกาย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยเรื่องความจำของสมอง  ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ  ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาออาหารได้ 


5.น้ำสลัดน้ำมันงา-โชยุ ( Goma Shoyu Salad Dressing ) 

       น้ำสลัดสีน้ำตาลเข้ม มีรสเปรี้ยว เค็ม กำลังดี และมีความหอมของงา 

       ประกอบด้วยโชยุ ( ซอสถั่วเหลืองของญี่ปุ่น ) ,น้ำมันงา ,น้ำมันพืช ,งาคั่ว ,น้ำเชื่อม และเกลือ

       ให้พลังงานไม่สูงมาก  ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานประมาณ 55 กิโลแคลอรี่

       อุดมไปด้วยกรดไพติก  ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งลำไส้ และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก

       เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก  ผู้ป่วยโรคเบาหวาน  โรคหัวใจ  โรคความดันโลหิตสูง  โรคอ้วน  เป็นต้น



       จะเห็นได้ว่า "น้ำสลัด( Dressing ) สามารถรับประทานให้มีคุณค่าทางโภชนาการได้  ปัจจุบันมีการดัดแปลงให้มีรสชาติหลากหลายขึ้น โดยการเพิ่มเครื่องเทศ สมุนไพร 

       เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย และโรคของแต่ละคน


- END -






Anchovy



Anchovy 

ปลาร้าอิตาลี 

แอนโชวี่เป็นปลาน้ำเค็มขนาดเล็ก มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ วิธีการทำก็คล้ายกับปลาร้าของไทย คือการนำมาหมักเกลือในปริมาณที่มาก และทิ้งไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วนใหญ่ที่ขายทั่วไปปลาจะถูกแล่มาแล้ว และจะถูกทำความสะอาดก่อนที่จะนำไปหมัก ดังนั้นเมื่อหมักได้ที่ก็จะนำมาใช้ปรุงอาหารได้ทันที 

       ส่วนใหญ่แอนโชวี่ที่ส่งออกไปทั่วโลกจะนำมาแช่ในน้ำมันมะกอก โดยจะใช้ทั้งตัวและน้ำมันเพื่อปรุงอาหาร แอนโชวี่จะมีความเค็มมาก ก่อนที่จะนำมาใช้จะใช้ต้องล้างและซับให้แห้ง หรือจะแช่ในน้ำนมเพื่อลดความเค็มตามการปรุงอาหารแบบฝรั่งเศส ส่วนน้ำมันจะเอาไว้ใช้เพื่อให้อาหารมีกลิ่นของปลา

       เมนูที่จะเอามาทำก็มีหลากหลาย เช่นใส่ในสปาเก็ตตี้ พิซซ่า สลัด ใส่ในแซนวิช หรือโรยหน้าบนขนมปังฝรั่งเศสหน้าต่างๆ ผู้ส่งออกแอนโชวี่รายใหญ่ของโลก คือประเทศเปรู  

- - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

       ปลาแอนโชวี่ : เป็นปลาที่มีขนาดเล็กกว่า 6 นิ้ว ตัวเกล็ดจะเป็นสีเงินส่องประกายตามภาพด้านบน ปลาชนิดนี้มีจุดเด่นคือ เป็นปลาที่มีรสชาติและกลิ่นที่จัด เป็นเอกลักษณ์ ใครชอบก็ชอบเลย ใครไม่ชอบก็เรียกว่าเกลียดที่เดียว ( เหมือน vegemite ) แอนโชวี่ ที่เราจะเห็นและได้ทานบ่อยที่สุดคือที่หมักในน้ำมัน และมักจะถูกแล่มาเรียบร้อย ( ส่วนใหญ่รสชาติจะเค็มมาก )

       คนส่วนใหญ่ก็มักจะนิยมเอามาใส่สลัดเพื่อเพิ่มรสชาติความเค็ม แต่ถ้าจะพูดถึงรสชาติให้ถูกจริงๆน่าจะคือรส อุมามินะ ( อุมามิ คือ รส meaty แปลว่า เนื้อๆ มั้ง ) ( รสชาติ 5 รส : เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม อุมามิ )

       ที่เห็นนอกเหนือจากนี้ก็จะเป็น แอนโชวี่บนหน้า Pizza และบางทีอิตาเลียนก็เอามาทานสดบ้าง หรือปรุงอาหารจานแปลกๆ 


  - - - - - - - - - - - - - - - - - - -   

ปลากะตัก หรือ ปลาจิ้งจั้( Anchovy ) 

       ปลากะตัก หรือ ปลาจิ้งจั้ง ( Anchovy ) ในประเทศที่ความหลากหลายทางชีวภาพมาก ถือว่าเป็นความโชคดีของผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบบริเวณนั้น เนื่องจาก จะมากไปด้วยพืชและสัตว์นานาชนิด ทำให้ได้ลองลิ้มชิมรสอาหารได้หลากหลายอย่าง แบบไม่ซ้ำซากจำเจ ให้ต้องเกิดความเบื่อหน่าย โดยเฉพาะอาหารที่ได้มากจากท้องทะเล ที่อุดมไปสัตว์น้อยใหญ่ พันธุ์ปลาและอื่นๆอีกมากมาย ให้ได้กินกันอย่างไม่มีวันหมด ปลากะตัก ก็เป็นปลาทะเลอีกชนิดหนึ่ง ที่นิยมนำมาประกอบเป็นอาหารทานกัน โดยเฉพาะชาติในประเทศแถบตะวันตก ปลากะตักเป็นปลากินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร เป็นห่วงโซ่อาหารของปลาหมึก ปลาทู ปลาทราย เป็นต้น ความสมบูรณ์ของปลากะตักจึงเป็นตัวชี้วัดความสมดุลของท้องทะเล


       ปลากะตัก ออกเสียงไม่เหมือนกันในแต่ละภาค บ้างก็เรียก ปลากะตะ ปลากระตัก คือ ปลาทะเลขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีขนาดตัวโตเต็มที่ประมาณ 6 นิ้ว เป็นปลาที่มีลักษณะรูปร่าง คล้ายคลึงกับปลาซาดีน แต่มีขนาดที่เล็กกว่า มีเกร็ดเป็นสีเงินส่องประกาย เป็นปลาที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกับปลาไส้ตัน ปลากะตักนี้สามารถพบได้ตามท้องทะเลทั่วโลก



ปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้งใช้ทำเป็นเมนูอะไรได้บ้าง?

       ปลากะตัก เป็นปลาอีกหนึ่งชนิด ที่นำมาใช้ประกอบเป็นอาหาร นิยมนำมาหมักเค็มแล้วแช่ในน้ำมัน มีรสชาติออกเค็มและมีกลิ่นที่จัด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของปลาชนิดนี้ ปลาข้าวสาร คือชื่อเรียกลูกปลากะตักที่ยังไม่โตนั่นเอง ปลาข้างสาร มีประโยชน์มากมายสามารถนำไปใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น นำไปทานคู่กับสลัด ใช้ทำเป็นหน้าพิซซ่า ใช้ผัดกับสปาเก็ตตี้ และอื่นๆแล้วตามความชอบ ปลากะตักชนิดสดโดยมากชาวตะวันตกจะนิยมนำไปทำเป็นซุปทานกัน



ประโยชน์ของปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้ง

       ปลากะตัก จะอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่าง เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 โปแทสเซียม ( Potassium ) และแคลเซียม ( Calcium ) ในปริมาณที่สูง การทานปลากะตัก ขนาด 3 ออนซ์ จะให้พลังงาน 10 แคลอรี แบ่งเป็น ไขมัน 4 กรัม โพแทสเซียมมากกว่า 300 มิลลิกรัม และแคลเซียม 125 มิลลิกรัม การทานปลากะตักในปริมาณที่เหมาะสม จะได้รับสรรพคุณที่ดี มีประโยชน์กับร่างกาย นอกจากปลากะตัก หรือ ปลาจิ้งจั้งแล้ว ปลาเล็กปลาน้อยก็มีประโยชน์ และให้แคลเซียมสูงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ปลากะตักยังสามารถนำไปดองน้ำปลาได้เหมือนกับปลาไส้ตัน



ข้อแนะนำในการทานปลากะตักหรือปลาจิ้งจั้ง 

       1. ปลากะตักแบบกระป๋อง เรียกว่า ปลาแอนโชวี่กระป๋อง ควรเลือกซื้อชนิดที่อยู่ในน้ำมันปลา หรือในน้ำมันมะกอก มากว่าการเลือกชนิดที่อยู่ในน้ำมัน เนื่องจากชนิดที่อยู่ในน้ำมัน จะมีปริมาณของไขมัน คอเลสเตอรอล ( Cholesterol ) และโซเดียม ( Sodium ) ในระดับที่สูง ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ


       2. การเลือกซื้อปลากะตักแบบสดมาปรุงอาหาร หากใช้ไม่หมด จะสามารถเก็บใส่ตู้เย็น เพื่อรักษาความสดของปลาไว้ได้ประมาณ 2 วัน แต่หากนานกว่านี้ ต้องนำไปแช่แข็งโดยหุ้มให้สนิทด้วยกระดาษห่อสำหรับช่องแช่แข็งโดยเฉพาะ เพื่อให้เนื้อปลายังคงความสดไว้ได้นาน



       ปลากะตัก ถือว่าเป็นปลาทะเลที่มีประโยชน์และสรรพคุณที่ดีต่อร่างกาย ทั้งช่วยป้องกันโรคหัวใจ และช่วยลดระดับความดันโลหิต ผู้บริโภคควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และรู้จักเลือกประเภทให้ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกายอย่างสูงสุด  



ขอขอบคุณข้อมูลจาก :  springnews.co.th/programs/scoop-th/241451  และ  fovefood.wordpress.com/2016/07/06/ซาดีน-vs-แอนโชวี่/และ amprohealth.com/food/anchovy/  


- END -