Friday, April 3, 2020
Pre Contest
Pre Contest
ช่วงเตรียมตัวขึ้นประกวด
ช่วงเตรียมตัวขึ้นประกวดนี้ บางทีก็เรียกว่า ช่วงเข้าฤดูการแข่งขัน / เหตุที่ศัพท์ว่า Pre Contest มันน่าจะแปลว่า "ช่วงเตรียมตัวประกวด หรือช่วงก่อนประกวด" ได้อย่างเดียว ทำไมต้องมีคำว่า "ฤดู" ด้วย ? เพราะในศัพท์ว่า Pre Contest มันไม่เห็นมีศัพท์ว่า "ฤดู" ( Season ) แทรกอยู่ตรงไหนเลย?
คำตอบก็คือว่า ในวงจรวัฏจักรการเล่นกล้ามของนักเพาะกายในปีหนึ่งๆ เขาจะมีแค่ 2 วัฏจักรเท่านั้นคือ
ช่วงนอกฤดูการแข่งขัน - ซึ่งใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Off Season
ช่วงเตรียมตัวประกวด - ซึ่งใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Pre Contest ( ซึ่งก็คือเรื่องที่เพื่อนสมาชิกกำลังนั่งอ่านอยู่ ณ.ขณะนี้ นี่เอง )
จาก 2 วัฏจักรข้างบนนี้ เพื่อนสมาชิกจึงเห็นได้ว่า ตัว Off Season กับตัว Pre Contest เป็นปรปักษ์กัน คืออยู่คนละปลายด้าน
คราวนี้ เมื่อ Off Season มันแปลว่า ช่วง นอกฤดูการแข่งขัน ( Season ก็คือ ฤดู ) / แล้วพอเราจะสื่อถึงอะไรที่มันอยู่ตรงข้ามกับ "นอกฤดู" ( คือ Off Season ) มันก็ควรจะเป็นศัพท์ภาษาไทยที่บอกว่า "ในฤดู" หรือ "เข้าฤดู"
แต่ในศัพท์ภาษาอังกฤษ มันไม่ใช้คำว่า "In Season" แต่มันดันใช้ศัพท์อื่นไปเลย ซึ่งก็คือ Pre Contest
ดังนั้น เวลาที่ผมจะแปลความหมายให้เพื่อนสมาชิกอ่าน เพื่อทำความเข้าใจง่ายๆ ผมจึงแปลคำว่า Pre Contest เป็นช่วง "เข้าฤดูการแข่งขัน" ( ทั้งๆที่มันไม่มีศัพท์ว่า Seasons อยู่ในคำว่า Pre Contest เลยก็ตาม แต่จุดประสงค์ในการแปลอย่างนี้ ก็เพื่อให้มันตรงข้ามกับคำว่า นอกฤดูการแข่งขัน ซึ่งผมแปลตรงตัวจากภาษาอังกฤษว่า Off Season นั่นเองครับ ) / เอาล่ะครับ เรามาเข้าเนื้อเรื่องกันต่อ
ในวงจรของนักกีฬาทั้งหลาย สมมติว่าเป็นกีฬายิมนาสติกที่จะแข่งกีฬาโอลิมปิคก็แล้วกัน / กีฬาโอลิมปิค จะมีการแข่งขันกัน 4 ปีครั้ง / คราวนี้ สมมติว่าเหลือเวลาอีก 1 ปีก็จะมีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคแล้ว ทางสมาคมต่างๆ ก็จะใช้คำว่า "เก็บตัว" นักกีฬา คือเอานักกีฬายิมนาสติกที่จะเข้าทำการแข่งขัน ไปอยู่ค่ายเพื่อฝึกซ้อมแบบเข้มข้น เพื่อจะขึ้นแข่งขัน
จึงเห็นได้ว่า ช่วง 4 ปี ก่อนที่จะมีการแข่งขันโอลิมปิคนั้น จะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงนอกฤดูการแข่งขัน ( 3 ปี ) และช่วงเก็บตัว หรือช่วงเตรียมตัวขึ้นแข่งขัน ( 1 ปี )
ซึ่งช่วงนอกฤดูการแข่งขัน ( 3 ปี ) นั้น ไม่ใช่ว่านักกีฬาจะไม่ซ้อมกีฬาเลยนะครับ คือเขาก็ต้องเล่นยิมนาสติกไปเรื่อยๆ เพื่อหล่อเลี้ยงทักษะของเขาให้เคยชินกับการตีลังขา ,ฉีกขา ฯลฯ ( มันจะไม่เหมือนการอ่านหนังสือสอบตรงที่ว่า ถ้ายังไม่เข้าช่วงใกล้สอบนั้น ( Off Season ) เราไม่ต้องอ่านหนังสือเลยก็ได้ แล้วไปอ่านหนังสือสอบรวดเดียว ตอนช่วง "เข้าฤดูการสอบ" ก็ได้ / แต่สำหรับนักกีฬาแล้ว จะทำอย่างนั้นไม่ได้ คือต้องฝึกตลอดปี ตลอดชาติ ทั้ง Off Season และ ช่วงเก็บตัว ( ช่วงเข้าฤดูการแข่งขัน ) / เพียงแต่ว่ารูปแบบการฝึกระหว่างช่วง Off Season กับช่วงเก็บตัว จะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ไม่ใช่ถึงกับ ไม่ฝึกอะไรเลยในช่วง Off Season นะครับ อย่าเข้าใจผิด )
เปรียบเทียบวัฏจักรการฝึกของนักกีฬายิมนาสติก กับนักเพาะกาย ก็จะเป็นอย่างนี้ครับ
ช่วงนอกฤดูการแข่งขัน 3 ปี ของนักกีฬายิมนาสติก ก็คือ ช่วงนอกฤดูการแข่งขัน 10 เดือนในกีฬาเพาะกาย
ช่วงเก็บตัว หรือเข้าค่าย 1 ปีก่อนขึ้นแข่งขันในกีฬาโอลิมปิค ก็คือ ช่วงเข้าฤดูการแข่งขัน 2 เดือนก่อนการขึ้นเวทีประกวด ในกีฬาเพาะกาย
ก็คือว่า ช่วงนอกฤดูการแข่งขันสำหรับนักเพาะกายนั้น ก็ไม่ใช่ว่านักเพาะกายจะไม่ฝึกนะครับ เขาก็ยังฝึกเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่ต้องระวังเรื่องอาหารมากนัก
ซึ่งพอเข้าช่วงฤดูการแข่งขัน หรือช่วง Pre Contest แล้วล่ะก็ รูปแบบการดำเนินชีวิตของนักเพาะกายก็จะไม่เหมือนช่วงนอกฤดูการแข่งขันแล้ว คือทุกอย่างจะต้องขมึงเกลียวขึ้น ลำบากในการใช้ชีวิตมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ช่วงนอกฤดูการแข่งขัน เราเคยทานอาหารได้เยอะๆ ทานเต็มที่จนอิ่ม แล้วเราก็เล่นกล้ามอย่างเดียว
แต่พอช่วงเตรียมตัวประกวด ปรากฏว่าเราต้องลดปริมาณอาหารที่ทานลง แล้วกลับต้องเพิ่มการทำ คาร์ดิโอเข้ามาอีก ในขณะที่ยังต้องเล่นกล้ามเหมือนเดิม ( คือไม่ใช่ทำคาร์ดิโออย่างเดียวนะครับ เรายังต้องเล่นกล้ามอยู่เหมือนเดิม ) / มันเลยสวนทางกันไปหมด คือช่วงนอกฤดูการแข่งขัน เรากินมาก แต่ออกกำลังน้อยได้ - แต่พอเข้าช่วงฤดูการแข่งขัน เราดันต้องกินน้อยลง แต่กลับต้องออกกำลังมากขึ้น ( คือต้องเพิ่มการทำคาร์ดิโอเข้าไปในตารางฝึกอีก )
ดังนั้น เราจึงเห็นรูปแบบการออกกำลังกายที่แตกต่างกัน นั่นก็คือว่า เวลาที่เราเล่นกล้ามในช่วงเข้าฤดูการแข่งขัน เราจะใช้ลูกน้ำหนักที่เบาๆ เพราะเราทานข้าวน้อยลง ( Diet ) ทำให้แรงเราเหลือน้อยอยู่แล้ว ดันต้องเผื่อแรงไว้สำหรับทำคาร์ดิโอ คือเดินบนสายพาน ฯลฯ อีก / นักเพาะกายบางคนที่ใช้น้ำหนักเบาลง ( เพราะอยู่ในช่วงเข้าฤดูการแข่งขันนี้ ) ก็จะชดเชยด้วยการเพิ่มจำนวน Rep ในเซทให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ช่วงนอกฤดูการแข่งขัน เคยใช้ดัมเบลล์หนักลูกละ 25 กก.บริหารเซทละ 8 Rep ,แต่พอเข้าฤดูการแข่งขัน เขาก็จะลดขนาดดัมเบลล๋ลงให้เหลือแค่ 10 กก. แต่เพิ่มจำนวน Rep ให้เป็นเซทละ 15 Rep เป็นต้น
นักเพาะกายบางคน มีช่วงเข้าฤดูการแข่งขัน มากถึง 8 เดือนต่อปี ก็คือเขาต้องเครียด ต้องเหนื่อย ติดต่อกันถึง 8 เดือนในรอบ 1 ปี เหตุผลก็เพราะว่านักเพาะกายเหล่านี้ เป็นพวกล่ารางวัล คือจะแข่งหลายรายการในรอบ 1 ปี / สมมติให้นักเพาะกายที่มีช่วงฤดูการแข่งขัน ถึง 8 เดือนต่อปีคนนี้ ชื่อ นาย ก.
แต่นักเพาะกายบางคน มีช่วงเข้าฤดูการแข่งขันเพียง 2 เดือนต่อปีเท่านั้น เหตุผลก็เพราะว่าเขาแข่งปีละ "รายการเดียว" แต่เป็นรายการใหญ่ / สมมติให้นักเพาะกายที่แข่งรายการเดียวต่อปีนี้ ชื่อ นาย ข.
สมมติว่า นักเพาะกายชื่อ นาย ก. แข่งหลายรายการ และได้เป็นแชมป์หลายรายการในรอบ 1 ปีก็จริง แต่ว่า ในแต่ละรายการที่เขาได้แชมป์นั้น เขาได้เงินรางวัล รายการละ 20,000 เหรียญ สมมติว่าเขาชนะ 5 รายการในรอบ 1 ปี ก็แสดงว่าในปีนั้น เขาจะมีรายได้ 100,000 เหรียญ
แต่นักเพาะกายชื่อ นาย ข. แข่งรายการเดียว แต่เป็นรายการใหญ่ แล้วได้แชมป์จากรายการใหญ่นี้ ( สมมติว่าเป็นรายการมิสเตอร์โอลิมเปีย ) เขาจะได้เงินรางวัล 200,000 เหรียญทันที
นั่นก็หมายความว่า นักเพาะกายชื่อ นาย ข. จะอยู่ในช่วงเข้าฤดูการแข่งขัน ปีนึงแค่ 2 เดือนเท่านั้น แต่เขาจะมีรายได้เป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับ นักเพาะกายชื่อ นาย ก. ซึ่งต้องเข้าช่วงฤดูการแข่งขัน ปีนึงตั้ง 8 เดือน
พอจะมองเห็นภาพวัฏจักร และความสำคัญของช่วงเข้าฤดูการแข่งขัน ( Pre Contest ) แล้วนะครับ
- END -