Monday, April 13, 2020

Flax Seed Oil


Flax Seed Oil

น้ำมันลินซีด

       น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์, น้ำมันแฟลกซ์, น้ำมันลินซีด หรือ น้ำมันเมล็ดฝ้าย ( Linseed oil, flaxseed oil, flax oil ) เป็นน้ำมันใสจนถึงออกเหลือง ที่ได้จากเมล็ดแฟลกซ์ ( Linum usitatissimum ) ซึ่งเป็นพืชวงศ์ลินิน ( Linaceae ) อันดับโนรา ( Malpighiales ) เมล็ดสามารถสกัดน้ำมันด้วยเครื่องสกัดกล ( Expeller pressing ) และบางครั้งตามสกัดด้วยตัวทำละลาย เป็นน้ำมันชักแห้งคือจะแข็งเมื่อถูกกับอากาศผ่านกระบวนการพอลิเมอไรเซชัน เพราะคุณสมบัตินี้ น้ำมันนี้อาจใช้โดยตนเองหรือผสมกับน้ำมันอื่น ๆ, กับยางไม้ หรือกับตัวทำละลาย ให้เป็นน้ำมันชักแห้งหรือน้ำมันขัดเงาเพื่อรักษาไม้ เป็นตัวผสานสารสีในสีน้ำมัน เป็นสารเพิ่มความเหลวหรือลดน้ำ ( plasticizer  ) ในปูนอุดรอยรั่ว/สีโป๊ว/พัตตี และเพื่อผลิตเสื่อ/พรมน้ำมัน ( linoleum ) การใช้น้ำมันนี้ได้ลดลงภายในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาเพราะการเกิดเรซินสังเคราะห์แบบ alkyd ซึ่งมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันแต่เก่าเป็นสีเหลืองน้อยกว่า

       น้ำมันนี้ทานได้ นิยมทานเป็นอาหารเสริมเพราะเป็นแหล่งกรดลิโนเลนิกอัลฟาซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมกา-3 ในยุโรปบางส่วน ใช้ทานกับมันฝรั่งและควาร์ก ( เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวอย่างหนึ่ง ) โดยจัดว่าเป็นของอร่อย มีรสจัด และเสริมรสของควาร์กที่ปกติจืด

คุณสมบัติทางเคมี

       น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เป็นไตรกลีเซอไรด์เหมือนกับไขมันอื่น ๆ แต่พิเศษตรงที่มีกรดลิโนเลนิกอัลฟาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำปฏิกิริยาพิเศษกับออกซิเจนในอากาศ น้ำมันปกติมีกรดไขมันรวมทั้ง

* * * กรดลิโนเลนิกอัลฟาซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่ 3 คู่ เป็นกรดไขมันโอเมกา-3 ( 51.9-55.2% )


* * * กรดไขมันอิ่มตัวคือ กรดปาลมิติก (7%) และ stearic acid ( 3.4-4.6% )


* * * กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดียว คือ กรดโอเลอิก ( 18.5-22.6% )


* * * กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่ 2 คู่ คือ กรดลิโนเลอิก เป็นกรดไขมันโอเมกา-6 (14.2-17%) 


       เพราะมีเอสเทอร์กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่ 2 คู่และ 3 คู่ในอัตราสูง น้ำมันจึงเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันเมื่อถูกกับอากาศได้ง่าย ซึ่งเป็นการ "ชักแห้ง" คือจะแข็งตัว กระบวนการนี้อาจคายความร้อน จึงสร้างปัญหาอัคคีภัยในบางกรณี เพื่อไม่ให้แห้งเร็วเกิน ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันแฟลกซ์/ลินซีด ( เช่น สีน้ำมันเป็นต้น ) ควรบรรจุในภาชนะที่ผนึกสนิท

       เหมือนกับน้ำมันชักแห้งบางอย่าง น้ำมันนี้เรืองแสงในรังสีอัลตราไวโอเลตเมื่อเสื่อม



การใช้

       การประยุกต์ใช้น้ำมันลินซีดโดยมากอาศัยคุณสมบัติชักแห้งของมัน คือวัสดุตอนแรกจะเหลวหรืออย่างน้อยก็อ่อน แต่หลังเวลาผ่านไปจะแข็งแต่ไม่เปราะ ความกันน้ำเพราะเป็นไฮโดรคาร์บอนก็เป็นประโยชน์ด้วย

* * * เป็นสารผสานสี

       น้ำมันลินซีดมักใช้เป็นสารส่งสีในสีน้ำมัน และเป็นสารอำนวยการทาสี เพราะทำให้สีน้ำมันเหลวขึ้น ใส และเงาวาว มีในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งสกัดเย็น กลั่นกับแอลคาไล ( alkali-refined ) ฟอกแดด ( sun-bleached ) ตากแดดให้หนืด ( sun-thickened ) และกลายเป็นโพลิเมอร์   polymerised, stand oil ) การใช้สีน้ำมันก้าวหน้าอย่างสำคัญได้ก็เพราะเทคโนโลยีน้ำมันลินซีด


* * * พัตตี

       พัตตีติดตั้งกระจก ซึ่งดั้งเดิมเป็นผงชอล์กผสมกับน้ำมันลินซีด ใช้เพื่อติดตั้งและผนึกกระจกกับหน้าต่างไม้ จะแข็งภายใน 2-3 อาทิตย์ที่ใช้แล้วสามารถทา/พ่นสีทับได้ ความทนทานของมันมาจากคุณสมบัติชักแห้งของน้ำมันลินซีด


* * * น้ำมันขัดเงา

       เมื่อใช้เป็นน้ำมันขัดเงาสำหรับไม้ น้ำมันลินซีดแห้งช้า ๆ และหดตัวน้อยมากเมื่อแข็งตัว แต่ไม่ได้เคลือบผิวเหมือนกับน้ำมันวาร์นิช เพราะซึมเข้าไปในรูไม้ ( อาจจะมองเห็นหรือไม่เห็น ) เหลือแต่ผิวที่มัน ๆ ไม่ถึงกับเงาที่ยังแสดงอวดลายไม้ แม้จะเกิดรอยง่าย แต่ก็ซ่อมแซมได้ง่าย มีแต่การเคลือบขี้ผึ้งเท่านั้นที่อ่อนแอกว่า น้ำสามารถซึมผ่านเคลือบน้ำมันเพียงไม่กี่นาที และไอน้ำก็สามารถผ่านมันไปได้โดยเกือบไม่ติดขัดเลย

       เครื่องเฟอร์นิเจอร์กลางแจ้ง ( เช่นในสวน ) ที่ทาน้ำมันลินซีดอาจขึ้นราได้ ไม้ที่ทาน้ำมันอาจออกสีเหลือง ๆ และน่าจะสีเข้มขึ้นตามอายุการใช้งาน เพราะมันเข้าไปในรูไม้ น้ำมันจะช่วยป้องกันไม้ไม่ให้เกิดรอยเนื่องจาแรงบีบอัดได้บ้าง

       น้ำมันนลินซีดใช้ขัดเงาด้ามปืนดั้งเดิม แต่จะทำให้เงามากอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ การเคลือบเงาด้วยน้ำมันหลายชั้นเป็นวิธีดั้งเดิมเพื่อป้องกันไม้วิลโลว์ดิบ ( วงศ์สนุ่น ) และไม้ตีคริกเกต เพื่อให้ไม้เหลือความชุ่มชื้นบ้าง ไม้คริกเกตใหม่จะเคลือบด้วยน้ำมันลินซีดแล้วตีให้ทั่ว ( ด้วยลูกบอลเก่าหรือค้อนพิเศษ ) เพื่อให้ทนยิ่งขึ้น  น้ำมันลินซีดบ่อยครั้งยังใช้กับไม้คิวสำหรับบิลเลียดหรือพูล ใช้หล่อลื่นหรือป้องกันรีคอร์เดอร์ไม้ และใช้แทนเรซินสังเคราะห์เพื่อเคลือบกระดานโต้คลื่นไม้

       อนึ่ง ช่างเครื่องดนตรีสาย ( luthier ) อาจใช้น้ำมันลินซีดเมื่อปรับปรุงซอมแซมกีตาร์ แมนโดลิน หรือแป้นวางนิ้วของเครื่องดนตรีสายอื่น ๆ คือ มักใช้น้ำมันแร่กลิ่นเลมอนเพื่อทำความสะอาด แล้วทาน้ำมันลินซีด ( หรือน้ำมันชักแห้งอื่น ๆ ) บาง ๆ เพื่อกันเปื้อนไม่ให้ไม้เสื่อมเร็ว


การชุบทอง

       ในการชุบ/แปะทอง น้ำมันลินซีดต้มใช้เป็นสารกันซึม ( sizing ) โดยทาผิววัสดุที่จะแปะทอง ( เช่น แผ่นหนัง ผ้าใบ ดินเผา เป็นต้น ) เพราะมันทนกว่าสารกันซึมที่ทำผสมน้ำ ทำให้ผิวเรียบ และเหนียวพอในช่วง 12-24 ชม. แรกหลังทาเพื่อให้ติดทองแผ่นกับผิวได้ดี


เสื่อน้ำมัน ( linoleum )

       น้ำมันลินซีดใช้เพื่อประสานผงขี้เลื่อย ผงไม้ก๊อก หรือวัสดุเช่นกันอื่น ๆ เพื่อผลิตเสื่อน้ำมัน (linoleum) นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ( Frederick Walton ) ได้ประดิษฐ์เสื่อน้ำมันขึ้นในปี 1860 (  เรียกว่า linoleum หรือ lino ) ซึ่งเป็นวัสดุปิดพื้นทั้งในบ้านและอุตสาหกรรมตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1870 จนถึง 1970 จนกระทั่งแทนด้วยกระเบื้องยางปูพื้น แต่หลังจากคริสต์ทศวรรษ 1990 เสื่อน้ำมันก็เริ่มนิยมอีก เพราะจัดว่าดีต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งกว่า  linoleum ให้ชื่อกับเทคนิคทำภาพพิมพ์คือ linocut (  ภาพพิมพ์ยางแกะ ) ซึ่งทำโดยแกะยางเป็นแบบที่ต้องการ ทาหมึก แล้วพิมพ์บนกระดาษหรือผ้า ผลที่ได้จะคล้ายกับภาพพิมพ์แกะไม้


อาหารและอาหารเสริม

       น้ำมันลินซีดสกัดเย็นดิบ ที่บ่อยครั้งเรียกว่าน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เมื่อใช้เป็นอาหาร ออกซิไดซ์และเหม็นหืนได้ง่ายถ้าไม่แช่เย็น และแม้เมื่อเก็บไว้ในที่เย็น คุณภาพสินค้าก็อยู่ได้เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์  น้ำมันที่เหม็นควรทิ้ง ปัญหานี้เป็นเรื่องสำคัญทางพาณิชย์ จึงอาจเติมสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันการเหม็นหืน

       น้ำมันทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้ประกอบอาหาร แต่ก็มีงานศึกษาที่แสดงว่า กรดลิโนเลนิกอัลฟาเมื่อยังอยู่ในเมล็ดก็เสถียรพอใช้ประกอบอาหาร คือสามารถทนอุณหภูมิได้ 176.67 องศาเซลเซียสถึง 2 ชม.

       น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์เกรดอาหารจะสกัดเย็นโดยไม่ใช้ตัวทำละลาย ทำในที่ปราศจากออกซิเจน และวางขายเป็นน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ที่ทานได้ ( edible flaxseed oil ) น้ำมันสดแช่เย็นที่ไม่ได้แปรรูปเพิ่มสามารถใช้เป็นอาหารเสริม เป็นอาหารพื้นเมืองของคนยุโรปบางกลุ่ม และจัดว่าเป็นของอร่อย มันมีระดับกรดไขมันโอเมกา-3 คือกรดลิโนเลนิกอัลฟา สูงสุดอย่างหนึ่งในบรรดาน้ำมันพืชทั้งหมด[12] น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ปกติมีกรดลิโนเลนิกอัลฟา ( ALA ) ( C18:3 n-3 ) ระหว่าง 52-63% ผู้เพาะพันธุ์พืชได้พัฒนาเมล็ดแฟลกซ์ทั้งที่มีกรด ALA สูงกว่า ( 70% ) และที่มีกรดน้อยมาก (  < 3%  )
องค์การอาหารและยาสหรัฐให้สถานะ "ยอมรับโดยทั่วไปว่าปลอดภัย" ( GRAS ) สำหรับน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ที่มีกรด ALA สูง

สารอาหาร

       ส่วนสภาแฟลกซ์แห่งแคนาดาระบุว่ามีสารอาหาร   ต่อช้อนโต๊ะคือ 14 กรัม

* * * แคลอรี: 126 kcal

* * * ไขมันทั้งหมด: 14 กรัม

* * * กรดไขมันโอเมกา-3: 8 กรัม

* * * กรดไขมันโอเมกา-6: 2 กรัม 

* * * กรดไขมันโอเมกา-9: 3 กรัม


       น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ไม่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือใยอาหาร



การใช้อื่น ๆ

* * * ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง

* * * เพื่อดำรงสภาพ/รักษาจักรยาน เช่น เพื่อกันสนิมหรือเป็นน้ำมันหล่อลื่น

* * * ใช้ทำเครื่องประดับบ้าน / เครื่องใช้ เช่นในการแต่งคิ้ว

* * * ใช้ทาพื้นซึ่งทำด้วยดิน

* * * อาหารสัตว์

* * * น้ำมันหล่อลื่นในอุตสาหกรรม

* * * ใช้แต่งผลิตภัณฑ์หนัง

* * * ผ้าน้ำมัน

* * * ใช้กับเครื่องตรวจจับอนุภาค/เครื่องตรวจหารังสี

* * * สิ่งทอ

* * * ใช้รักษาไม้ (  รวมทั้งเป็นสารออกฤทธิ์ในน้ำมันเดนิช)  

* * * ใช้เคลือบภาชนะหุงต้มในครัว



น้ำมันลินซีดแปรรูป

       น้ำมันสแตนด์ ( stand oil )  / น้ำมันลินซีดโพลีเมอร์

       น้ำมันโพลีเมอร์ทำโดยให้ความร้อนแก่น้ำมันลินซีดใกล้ ๆ 300 °C เป็นเวลา 2-3 วัน ในที่ที่ไม่มีอากาศ ในสภาพเช่นนี้ เอสเตอร์ไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่จะกลายเป็น diene (  ไฮโดรคาร์บอนที่มีพันธะคาร์บอนคู่ 2 คู่ ) แล้วเกิดปฏิกิริยา Diels-Alder reaction ทำให้โซ่โพลีเมอร์เชื่อมเข้าด้วยกัน (crosslink) ผลิตผลที่เหนียวมากนี้ สามารถใช้เคลือบผิวที่เมื่อแห้งแล้วยืดหยุ่นได้ดีกว่าน้ำมันลินซีดเอง ผิวเคลือบที่ได้จากน้ำมันเช่นนี้จะกลายเป็นสีเหลืองน้อยกว่าเมื่อใช้น้ำมันลินซีด

       แม้น้ำมันถั่วเหลืองก็แปรรูปผ่านกระบวนการเช่นนี้ได้เหมือนกัน แต่จะแปรรูปช้ากว่า แต่น้ำมันตังอิ๊ว (tung oil) จะแปรรูปได้เร็วกว่าภายในเวลาเป็นนาที ๆ ที่อุณหภูมิ 260 °C



น้ำมันลินซีดต้ม

       น้ำมันลินซีดต้ม ( boiled linseed oil ) เป็นน้ำมันที่ผสมน้ำมันลินซีดดิบ น้ำมันลินซีดโพลีเมอร์ และสารทำแห้งโลหะ (ซึ่งเป็นตัวเร่งให้แห้ง)  ในสมัยกลาง น้ำมันลินซีดจะต้มกับตะกั่วออกไซด์ ( lead oxide, ตะกั่วเหลือง ) กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า น้ำมันลินซีดต้ม[20][ต้องการหน้า] ตะกั่วออกไซด์ที่เป็นแอลคาไลน์ จะโปรโหมตกระบวนการพอลิเมอไรเซชัน (คือการชักแห้ง) ของน้ำมันลินซีดเมื่อเกิดปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ และการให้ความร้อนจะช่วยให้แห้งเร็วขึ้น



น้ำมันลินซีดดิบ

       น้ำมันลินซีดดิบก็คือน้ำมันเปล่า ๆ ที่ไม่ได้แปรรูป ไม่ได้เติมสารทำแห้งหรือทินเนอร์ ซึ่งโดยมากใช้เป็นอาหารสัตว์หรือทำเป็นน้ำมันต้ม มันไม่แข็งดีพอหรือเร็วพอเพื่อจัดเป็นน้ำมันชักแห้ง ( drying oil )  น้ำมันลินซีดดิบบ่อยครั้งใช้ทาไม้คริกเกตเพื่อเพิ่มแรงเสียดผิวซึ่งช่วยให้คุมลูกบอลได้ดีกว่า  และยังใช้ทาสายพานหนังแบนเพื่อให้ลื่นน้อยลง



การติดไฟเอง

       ผ้าขี้ริ้วชุ่มน้ำมันลินซีดวางเป็นกองจัดว่าเสี่ยงอัคคีภัยเพราะมันให้พื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับกระบวนการออกซิเดชันของน้ำมันซึ่งอาจเกิดเร็วมาก เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ซึ่งยิ่งเกิดเร็วยิ่งขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เมื่อความร้อนที่สะสมเกินอัตราการระบายความร้อนสู่สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นและอาจร้อนพอให้ผ้าขี้ริ้วติดไฟเอง

       ในปี 1991 ตึก 38 ชั้นคือ One Meridian Plaza ในนครฟิลาเดลเฟียเสียหายอย่างรุนแรงโดยมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 3 ท่านเสียชีวิตในอัคคีภัยที่เชื่อว่าเกิดจากผ้าขี้ริ้วชุ่มน้ำมันลินซีด[24] ต่อมาต้องทุบตึกทิ้ง เป็นตึกสูงเป็นอันดับ 3 ในโลกที่ถูกทำลายจนถึงปี 1999 และอันดับ 7 จนถึงปี 2006


- - - - - - - - - - - - - - - - - - -  


FLAXSEED OIL ( น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์)หรือ Linseed Oil ( น้ำมันเมล็ดลินิน )

       คือน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดของต้นลินิน หรือต้นปอป่าน ในปัจจุบันมีการเพาะปลูกกันมากในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา

       ซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น กลุ่มโอเมก้า 3, 6, 9 ดังนี้

* * * กรดแอลฟ่า-ไลโนเลนิก ( Alpha-Linolenic Acid หรือ ALA ) จัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น ที่มีปริมาณมากกว่าในน้ำมันปลาถึง 60% มีประโยชน์อย่างมากต่อระบบการไหลเวียนของเลือด 


* * * กรดไลโนเลอิก ( Linoleic Acid หรือ LA ) เป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่มโอเมก้า 6 ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นและลดอาการอักเสบของผิวหนัง


* * * กรดโอเลอิก ( Oleic Acid ) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 9 มีการออกฤทธิ์คล้ายโอเมก้า 3 และ 6 ทำหน้าที่ช่วยเสริมการทำงานของสารทั้งสองตัวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


       นอกจากนี้ ยังมีสารพฤกษเคมีอีกหนึ่งชนิด ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ คือ “ ลิกแนน ( Lignans ) ” ซึ่งเป็นไฟโตเอสโตรเจน ( phytoestrogens ) ซึ่งมีมากกว่าพืชชนิดอื่นถึง 75 เท่า มีการออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ



ประโยชน์ของน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ( Flaxseed Oil ) 

       ในปัจจุบัน พบว่า อาหารที่รับประทานส่วนใหญ่จะประกอบด้วยกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 แต่มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 น้อยมาก ทำให้ร่างกายเสียสมดุลของกรดไขมันในร่างกาย อันเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายชนิด 

       1.ลดคลอเลสเตอรอล ควบคุมความดันโลหิต และป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ - กรดแอลฟ่า-ไลโนเลนิก ที่พบในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ทำหน้าที่ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด, ช่วยขยายหลอดเลือด, ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ จึงทำให้ลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจ มีผลวิจัยทางการแพทย์ พบว่า กลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ 3,000 มก./วัน ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 200-400 หน่วยสากล สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวได้ถึง 15% และจากการศึกษาใน Boston’s Simmons College ระยะเวลา 5 ปี พบว่า น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหัวใจวาย และป้องกันความดันโลหิตสูงได้


       2.ลดอาการปวดอักเสบของโรคข้อต่างๆ เช่น ข้อเสื่อม และรูมาตอยด์ - กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ สามารถลดการอักเสบของโรคข้อต่างๆได้ เช่น โรคข้อเสื่อม, โรครูมาตอยด์ และโรคเกาท์ ซึ่งจากการศึกษากับผู้ป่วยไขข้ออักเสบ ( Rheumatoid Arthritis ) พบว่า มีผลต่อการสร้างสารที่ลดการอักเสบในร่างกายหลายชนิด เช่น Interleukin-1, Tumor necrosis factor และLeukotriene B4 จึงช่วยบรรเทาอาการข้อบวม, ปวดข้อลงได้ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น


       3.ลดการอักเสบของผิว บำรุงสุขภาพเส้นผมและเล็บ - กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 ที่พบในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ จัดเป็นกรดไขมันจำเป็น ( Essential Fatty Acid หรือ EFAs ) ซึ่งร่างกายจะนำไปใช้ในการสร้าง Prostaglandin PGE1 ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบต่างๆของผิวหนัง เช่น การแพ้, ผื่นคัน, สิว และกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น รวมถึงช่วยให้เส้นผมมีสุขภาพดี, เงางาม, ไม่แห้งแตกปลาย และต่อต้านการอักเสบที่หนังศีรษะ รวมถึงผู้ทีปัญหาหนังศีรษะแห้ง นอกจากนี้ยังช่วยให้เล็บแข็งแรงไม่เปราะหักง่าย


       4.ลดความผิดปกติของสตรีวัยหมดประจำเดือน และต่อต้านความชรา - สารลิกแนน ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ( Phytoestrogen ) และช่วยปรับความสมดุลของฮอร์โมน ดังนั้นจึงช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้ เช่น อาการร้อนวูบวาบ, เหงื่อออกในเวลากลางคืน, หลับไม่สนิท, ผิวพรรณและช่องคลอดแห้ง เป็นต้น ประกอบกับสารลิกแนน ยังช่วยป้องกันผลจากความชราภาพในหลายๆด้าน นอกจากนี้กรดไขมันจำเป็นในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ยังช่วยอาการผิดปกติของการมีประจำเดือนได้อีกด้วย เช่น อาการคัดหน้าอก, ปวดเมื่อย, ปวดท้อง เป็นต้น


       5.ลดอาการตาแห้ง - การรับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์สามารถลดอาการตาแห้ง โดยการเพิ่มทั้งคุณภาพและปริมาณของชั้นน้ำตาส่วนไขมัน และช่วยหล่อลื่นดวงตา ซึ่งจากการศึกษา พบว่า การรับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์3,000 มก./วัน ก่อนทำเลสิค 1 สัปดาห์ และหลังทำเลสิค 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการตาแห้งที่มักเกิดขึ้นหลังจากการทำเลสิคลงได้


       6.ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง - สารลิกแนน ในน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งในปัจจุบันพบว่าผู้หญิง 1 ใน 9 คน เป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากการมีระดับของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล จากการศึกษา พบว่า การบริโภคน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมได้ถึง 40% เพราะช่วยขับเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย และช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ที่ทรวงอกอย่างรวดเร็วเกินไป ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้ รวมทั้งชะลอการเติบโตของเนื้องอก ทำให้น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ มีบทบาทในการนำมาใช้เพื่อป้องกันโรคมะเร็งเต้านม, มดลูก, ลำไส้ใหญ่, ต่อมลูกหมาก รวมถึงมะเร็งผิวหนัง ถึงแม้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม แต่จากการศึกษาโดย University of Toronto บ่งชี้ว่า ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม ( ไม่คำนึงถึงระดับความรุนแรงของโรคมะเร็ง ) จะได้รับประโยชน์ด้านการรักษาที่เพิ่มขึ้นเมื่อมีการรับประทานน้ำมันเมล็ดแฟลกซ์


- END -