Sunday, April 12, 2020

Cheese


Cheese

      เนยแข็ง หรือ ชีส ( cheese ) คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งสามารถผลิตได้จากนมวัวหรือแพะ เป็นต้น ที่ผ่านกระบวนการคัดแยกโปรตีน แล้วนำโปรตีนของนมมาทำการผสมเชื้อรา หรือแบคทีเรีย หรือสารอื่นๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของเนยแข็ง ซึ่งแตกต่างจากเนยที่ทำมาจากไขมันของนม

       เนยแข็งเป็นอาหารที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน โดยมีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนที่สุดในคัมภีร์ไบเบิล กลุ่มนักรบทหารโรมันเป็นบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ให้คนทั่วโลกได้รู้จักเนยแข็ง เพราะไม่ว่าจะยกทัพไปที่ใดก็มักจะนำเนยแข็งไปด้วยเสมอและมักจะแบ่งปันเนยแข็งที่มีให้กับคนท้องถิ่นนั้นๆ โบสถ์จัดว่าเป็นสถานที่เก็บรวบรวมข้อมูลความรู้เกี่ยวกับเนยแข็งที่เด่นชัดที่สุดในสมัยกลาง การจำหน่ายเนยแข็งเพื่อหารายได้เข้าโบสถ์ของบาทหลวงในศาสนาคริสต์ส่งผลให้เกิดเนยแข็งแบบดั้งเดิมที่มีเฉพาะในแต่ละท้องถิ่น และในเวลาต่อมาเนยแข็งท้องถิ่นนี้ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงรสชาติให้มีความหลากหลาย จนในปัจจุบันมีเนยแข็งมากกว่า 3,000 ชนิด

       หลายคนมีความเข้าใจผิดว่าเนยแข็งและเนยเหลวเป็นอาหารประเภทไขมันเช่นเดียวกัน อันที่จริงแล้วเนยแข็งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโปรตีนในน้ำนมวัว ในขณะที่เนยเหลวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไขมันในน้ำนมวัว ดังนั้นเนยแข็งจึงจัดเป็นอาหารจำพวกโปรตีนเหมือนเนื้อสัตว์ และมีคุณค่าทางโภชนาการไม่แพ้น้ำนมวัว เนยแข็งให้สารอาหารจำพวก แคลเซียม โปรตีน ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 สังกะสี และไขมัน แต่ให้น้ำตาลแล็กโทสในปริมาณที่น้อยกว่าในน้ำนม ผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนมจึงสามารถหันมารับประทานเนยแข็งแทนเป็นทางออกแทนได้



- - - - - - - - - - - - - - - - - - -  


       
ชีส คือแหล่งให้แคลเซียมและโปรตีน แต่ว่าชีสก็อุดมไปด้วย ไขมันอิ่มตัว และโซเดียมในปริมาณที่สูง ! 

       วงการชีสเติบโตขึ้นอย่างมากในอเมริกา โดยในรอบ 50 ปีมานี้ ระบบสถิติชี้ว่าการบริโภคชีส เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่านับตั้งแต่ พ.ศ.2513 - พ.ศ.2552 ( ค.ศ.1970 - ค.ศ.2009 )

       เหตุผลที่บางคนไม่ทานชีส คือ บางคนแพ้นม และผลิตภํณฑ์ที่ทำจากนม  /  บางคนกำลังอยู่ในช่วงไดเอทเพื่อลดน้ำหนัก  /  บางคนเป็นมังสวิรัติ 



ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีส

       - รูปแบบของชีสมีเป็นพันรูปแบบ

       - ชีสส่วนมากจะมีโซเดียมและไขมันสูง แต่ว่าประโยชน์ของมัน "มีมากกว่า" ข้อเสีย

       - ชีสที่ถูกทำให้เป็นรูปแบบ ไขมันต่ำ ( Low - fat ) ,เกลือต่ำ ( Low - Sodium ) จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ให้กับพวกที่กำลังไดเอททั้งหลาย

       - ผู้ที่แพ้แลคโตสไม่ควรกินชีสทุกชนิด แต่ว่า มีชีสบางประเภท ที่ทำมาสำหรับให้ผู้ที่แพ้แลคโตสโดยเฉพาะ



ชนิดของชีส

       ชีสเป็นอาหารมาตรฐานยอดนิยม เหมือนกับพวกเบอร์เกอร์ ,พิซซ่า ,สลัด และแซนวิช

       ชีส เป็นอาหารทานเล่น เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนทานมื้อหลัก อีกทั้ง เรายังใส่ชีสเป็นส่วนประกอบของซอส ,ซุป และอาหารอื่นๆได้อีกหลายอย่าง 

       ชีส มีความหลากหลาย มีเป็นพันรูปแบบ มีทั้งแบบที่รสขาติอ่อนละมุน และรสชาติเข้มข้น ,มีทั้งแบบที่มีไขมันสูง และแบบที่มีไขมันต่ำ ,มีทั้งแบบที่ทำจากนมวัว ,แบบที่ทำจากนมแพะ ,แบบที่ทำจากนมแกะ และแบบที่ทำจากนมของสัตว์อื่นๆ

* * * Whole-milk cheese - จะมีไขมันอยู่ 6 - 10 กรัมต่อน้ำหนักชีส 1 ออนซ์ ( 28 กรัม ) มีไขมันอิ่มตัว 4 - 6 กรัม


* * * Low-fat หรือ Reduced fat cheese - ทำจากนม 2 % ,ส่วนแบบ Non-fat นั้น จะทำจากนม 0% หรือไม่ก็ทำจาก นมพร่องมันเนย ( Skin milk )


* * * Fresh cheese - คือชีสที่ไม่ได้บ่ม และจากการที่ไม่ได้บ่มนี้เอง เลยทำให้ชีสแบบนี้ มีความชื้นสูง และเมื่อมีความชื้นสูง ก็เลยทำให้เนื้อนุ่ม

       ส่วนเรื่องรสชาตินั้น มันจะมีความจาง ,เบาบาง ,อ่อน กว่าชีสที่ผ่านการบ่ม

       ตัวอย่างของชีสแบบนี้ ก็คือ ricotta ,cream cheese ,cottage cheese และ mascarpone.


* * * Aged or mature cheeses - คือ ชีสที่ผ่านการบ่ม  /  การบ่มที่ว่านี้ จะเริ่มตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป โดยมีหลักว่า ยิ่มบ่มนานเท่าไร รสชาติของชีสนั้นก็จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

       ตัวอย่างของชีสแบบนี้ ก็คือ Cheddar ,Swiss ,Parmesan และ Gruyere 


* * * Processed cheese - เป็นชีสที่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น cheese spread และ American cheese

       ชีสแบบนี้ ไม่จัดว่าเป็นชีสที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และจะไม่ได้รสชาติจากการบ่ม

       คนทั่วไปที่จะขายชีสแบบนี้ในร้านค้าของตัวเอง กฏหมายกำหนดว่า ต้องติดฉลากที่แสดงข้อความว่า เป็นอาหารที่ปรุงแต่ง ( คือต้องติดฉลากบอกว่า ไม่ใช่อาหารที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เป็นอาหารที่สร้างขึ้นมาด้วยกระบวนการทางอุตสาหกรรม )


* * * Non-dairy cheeses - คือชีสที่ทำจากถั่วเหลือง และ daiya

       ชีสนี้ เหมาะกับคนที่ไม่ทานผลิตภัณฑ์จากนมทั้งหลาย



สารอาหาร

       ขีสเป็นแหล่งให้แคลเซียม ซึ่งแคลเซียมเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน และแคลเซียมยังทำให้เลือดแข็งตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทำให้แผลหายเร็ว ( อันเกิดจากการที่เลือดแข็งตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ) อีกทั้งยังทำให้ระบบความดันเลือดในร่างกายมีความเสถียร

       ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 19 ปีถึง 50 ปี ควรรับแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม  ,ซึ่งการทานเชดดาร์ชีส ปริมาณ 1 ออนซ์ จะให้แคลเซี่ยม 20 เปอร์เซ็นต์ของที่ร่างกายต้องการ ( คือร่างการต้องการแคลเซียม วันละ 1,000 มิลลิกรัม  แล้วพอเราทานเชดดาร์ชีส 1 ออนซ์ มันก็จะให้แคลเซียม 200 มิลลิกรัม หรือ 20% ของ 1,000 มิลลิกรัม นั่นเอง )

       แม้จะมีประโยชน์ แต่ข้อเสียคือ ชีสมีแคลลอรี่สูง ,มีโซเดียมสูง และมีไขมันอิ่มตัว

* * * ใน Cheddar cream cheese spred ปริมาณ 1 ออนซ์ ( 28 กรัม ) จะมีสารอาหารดังนี้

       - 80 แคลอรี่

       - ไขมัน 7 กรัม ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว 5 กรัม ( อยู่ในไขมัน 7 กรัมนั้น )

       - คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม

       - โปรตีน 0 กรัม

       - แคลเซียม 150 มิลลิกรัม

       - วิตะมิน A จำนวน 750 IU ( International Unit )

       - คอเลสเตอรอล 15 มิลลิกรัม

       - โซเดียม 380 มิลลิกรัม


* * * ในเชดดาร์ชีส Cheddar cheese ยี่ห้อหนึ่ง ( ซึ่งไม่ระบุชื่อยี่ห้อ ) ปริมาณ 1 ออนซ์ ( 28 กรัม ) จะมีสารอาหารดังนี้

       - 120 แคลอรี่

       - ไขมัน 10 กรัม ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว 6 กรัม ( อยู่ในไขมัน 10 กรัมนั้น )

       - คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม

       - โปรตีน 7 กรัม

       - แคลเซียม 200 มิลลิกรัม

       - วิตะมิน A จำนวน 400 IU ( International Unit )

       - คอเลสเตอรอล 30 มิลลิกรัม

       - โซเดียม 190 มิลลิกรัม



ประโยชน์ 8 อย่าง

       1.ดีต่อสุขภาพของกระดูก

       ด้วยแคลเซียม ,โปรตีน ,แมกนี่เซียม ,สังกะสี และวิตะมิน A ,D และ K ที่มีอยู่ในชีส นั่นก็หมายความว่าการทานชีส จะเสริมสร้างกระดูกให้แก่เด็ก และวัยรุ่น อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

       บางทฤษฏีบอกว่า การทานอาหารที่เป็นผลิตภัณท์จากนมต่อวันมากเกินไป จะทำให้เกิดระดับ "กรด" ในร่างกายสูง ซึ่งอาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดีต่อสุขภาพของกระดูก "อย่างไรก็ตาม" ยังไม่มีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่จะสนับสนุนทฤษฏีนี้


       2.ดีต่อสุขภาพฟัน

       ชีส สามารถทำให้สุขภาพฟันของเราดีขึ้น เพราะชีสเป็นแหล่งให้แคลเซียมชั้นดี และแคลเซียมมีบทบาทสำคัญในเรื่องสุขภาพฟัน

       มีผลการทดลองหนึ่ง ที่สนับสนุนข้อเท็จจริงที่ว่า การทานชีส จะเพิ่มระดับ PH ในแผ่นโลหะในฟัน ( dental plaque ) ซึ่งจะช่วยป้องกันเรื่องฟันผุได้

       แต่โยเกิรต์ที่ไม่มีน้ำตาล ไม่มีคุณสมบัตินี้ ( คือไม่มีคุณสมบัติในการป้องกันฟันผุ ได้เหมือนชีส )


       3.ดีต่อระบบความดันเลือด

       ระบบสถิติแสดงข้อมูลให้เราทราบว่า ถ้าคนทั่วไปทานชีสมากขึ้นเท่าไร ก็จะทำให้ความดันเลือดต่ำลงเท่านั้น  แม้ว่าชีสบางอย่างจะมีไขมันและโซเดียมสูงก็ตาม ( แต่มันก็ทำให้ความดันเลือดต่ำอยู่ดี )

       แคลเซียมช่วยลดระดับความดันเลือด  ซึ่งอาหารที่แนะนำสำหรับกรณีนี้ก็คือชีสไขมันต่ำ ,โซเดียมต่ำ

       ถ้าต้องการชีสแบบโซเดียมต่ำ ขอแนะนำให้ทาน low-fat หรือไม่ก็ reduced-fat natural Swiss cheese 

       ชีสแบบไขมันต่ำแบบอื่นๆที่จะขอแนะนำก็คือ cottage cheese ,ricotta cheese ,parmesan , feta ,goat’s cheese และ low-fat cream cheese

       ตอนนี้มีชีสหลายแบบ ที่ทำเป็นรุ่น "Lite" ยกตัวอย่างเช่น Cheddar ,brite ,havarti และ Feta  /  โดยความหมายของรุ่น "lite" ก็คือว่า เป็นรุ่นที่ ลดไขมันในชีสลง "แต่" เพิ่มโซเดียมให้มากขึ้น


       4.ดีต่อสุขภาพของระบบหลอดเลือด

       ชีสบางแบบ มีระดับของคอเลสเตอรอลและโซเดียมสูง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหากับระบบหลอดเลือดได้

       อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2557 ( ค.ศ.2014 ) มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า ผลิตภัณฑ์จากนม เป็นแหล่งให้สารต้านอนุมูลอิสระกลูตาไธโอน ( antioxidant ,glutathione ) ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระ นี้ จะช่วยเรื่องระบบสมอง และทำให้ระบบประสาท ( ที่จะเสื่อมไปตามอายุ ) นั้น เสื่อมช้าลง 

       ในปี พ.ศ.2559 ( ค.ศ.2016 ) นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของชีสอาจป้องกันผลกระทบด้านลบของโซเดียมอย่างน้อยในระยะสั้น

       ในผลการศึกษา บอกว่า ผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์ประเภทนมเนย ( คือชีสที่ทำจากนม เนย )  จะมีสุขภาพของระบบหลอดเลือดที่ดีกว่าผู้ที่บริโภคชีสที่ทำจากถั่วเหลือง 


       5.ดีต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ และคอเลสเตอรอล

       ในการสึกษาวิจัยเมื่อปี พ.ศ.2558 ( ค.ศ.2015 ) บอกว่า เนื่องจากชีสเป็นอาหารที่มาจากการหมัก ดังนั้น ชีสจึงช่วยกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ได้ ซึ่งจะเป็นผลเชิงบวกในเรื่องของการช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด 


       6.ดีต่อน้ำหนักตัวของเรา

       การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนที่มี ดัชนีมวลกายสูง ( BMI ) มีแนวโน้มที่จะมีแคลเซียมในร่างกายในระดับต่ำ

       ซึ่งชีสเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี ดังนั้น การทานชีส จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักตัว


       7.กรดไขมันโอเมก้า 3

       พบได้ในชีสบางประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นชีสที่ผลิตจากนมของวัวที่กินหญ้าอัลไพน์

       เชื่อกันว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 จะเป็นประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดและสมอง 


       8.ทำให้เซลล์แข็งแรง

       เนื่องจากเซลล์ต้องการโปรตีนสำหรับการสร้างและซ่อมแซม

       เชดดาร์ชีส ในปริมาณ 1 ออนซ์ ให้โปรตีน 7 กรัม

       ซึ่งความต้องการโปรตีนของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ อายุ ,ขนาดร่างกาย และระดับกิจกรรมของคนๆนั้น ที่ทำในแต่ละวัน



ความเสี่ยง

       ชีสเป็นอาหารที่มีโซเดียมและไขมันอิ่มตัวสูง  จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง ,โรคหลอดเลือดหัวใจ และเบาหวานชนิดที่ 2

* * * ไขมันอิ่มตัว       

       จากรายงานเมื่อปี พ.ศ.2558 ( ค.ศ.2015 ) ของ DGAC ( Dietary Guidelines Advisory Commitee ) บอกไว้ว่า เราควรจำกัดปริมาณไขมันไว้ที่ 20 - 35 % ของแคลอรี่ทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน

       และควรจำกัดไขมันอิ่มตัวไว้ให้น้อยกว่า 10 % ของแคลอรี่ทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน

       นั่นก็หมายความว่า ถ้าเรากำลังไดเอทด้วยการรับแคลอรี่ 1800 แคลอรี่ต่อวัน เราก็ต้องจำกัดไขมันอิ่มตัวไว้แค่ 18 กรัมต่อวันเท่านั้น

       ในเชดดาร์ขีส ( Cheddar cheese ) 1 ออนซ์ จะให้แคลอรี่ 120 แคลอรี่ และ ไขมันอิ่มตัว 6 กรัม 

       การบริโภคไขมันอิ่มตัวสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ,โรคอ้วน และปัญหาหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ

       งานวิจัยบางชิ้นแนะนำว่าไขมันอิ่มตัวจากอาหารประเภทนม อาจเป็นอันตราย "น้อยกว่า" ไขมันอิ่มตัวจากแหล่งอื่น


* * * โซเดียม

       ควบคู่ไปกับเรื่องไขมัน ก็เป็นเรื่องของโซเดียม

       ในชีสบางประเภทจะมีโซเดิยมสูง โดยเฉพาะชีสแปรรูป และผลิตภัณฑ์ประเภท "รสชีส"


* * * ฮอร์โมน

       การบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เป็นการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมน สเตียรอยด์อื่นๆ

       ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ( ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมน สเตียรอยด์อื่นๆ ) อาจจะไปรบกวนระบบต่อมไร้ท่อ และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งบางชนิด



การแพ้ในรูปแบบต่างๆ

* * * การแพ้แลคโตส  

       บุคคลที่เป็นโรคแพ้แลคโตส นั่นเป็นเขาไม่มีเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยน้ำตาลที่พบในนม

       ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาบริโภคนม และผลิตภัณฑ์จากนม ก็จะทำให้เขาท้องอืด หรือท้องเสีย

       ระดับความรุนแรงของการแพ้แลคโตส จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล  บางคนอาจทานผลิตภํณฑ์ที่ทำจากนม ที่มีระดับแลคโตสต่ำได้ ยกตัวอย่างเช่นพวก โยเกิร็ต หรือ ชีสแบบแข็ง ได้

       ในขณะที่บางคน ทานนม หรือผลิตภัณฑ์จากนมไม่ได้เลย แม้แต่จะมีปริมาณน้อยๆก็ตาม

       ชีสนิ่ม หรือชีสสด เช่นพวก mozzarella อาจจะส่งผลต่อคนที่มีอาการแพ้แลคโตสได้

       แต่ว่า ถ้าเป็นชีสแบบที่แข็งกว่า เช่น เซดดาร์ชีส หรือ parmesan ซึ่งมีระดับแลคโตสต่ำกว่านั้น ผู้ที่แพ้แลคโตสอาจจะสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย


* * * โรคภูมิแพ้

       เกิดขึ้นเนื่องจากภูมิคุ้มกัน ต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง มีความบกพร่อง   /   ยกตัวอย่างเช่น การแพ้โปรตีนนม ,Whether Casein หรือพวกเวย์

        เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยการทานสิ่งของพวกนี้ ( โปรตีนนม ,Whether Casein หรือพวกเวย์ ) ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะผลิตแอนติบอดีที่เรียกว่า IgE ( immunoglobulin antibody ) ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้

       อาการแพ้ที่แสดงออกมาคือ การหายใจเสียงดังแบบผิดปกติ ,การท้องเสีย และการอาเจียน  /  ในกรณีที่รุนแรงมากขึ้น ผู้ป่วยอาจเป็นโรคหอบหืด ,มีเลือดออก เกิดอาการปอดบวม ช็อค และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้



ทุกคนที่มีอาการแพ้นม ต้องหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์นมทั้งหมดรวมถึงชีสด้วย

* * * พวกที่มีความไวต่อเคซีน

       โปรตีนที่พบในนมสามารถกระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกายต่อคนที่ไวต่อเคซีน โดยทำให้เกิดอาการ ไซนัส หรือผื่น หรือไมเกรนปวดศีรษะ

       คนที่มีอาการแพ้แบบนี้เกิดขึ้น ต้องปรึกษากับผู้มีประสบการณ์เรื่องการควบคุมอาหาร หรือ เข้าทำการทดสอบเรื่องความไวของร่างกายต่ออาหารประเภทนม


* * * พวกที่มีปัญหากับฟอสฟอรัส

       ในชีสบางชนิด จะมีฟอสฟอรัสในปริมาณสูง ซึ่งสำหรับคนบางพวกที่เป็นโรคไต จะเกิดปัญหาได้ เพราะว่า ไตไม่สามารถกำจัดฟอสฟอรัสส่วนเกินออกจากเลือดได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นอันตรายถึงชีวิต


* * * การรับแคลเซียมที่สูงเกินไป

       มีกระแสข่าวว่ามีการเชื่อมโยงกันระหว่างความเสี่ยงที่เพิึ่มขึ้นของมะเร็งต่อมลูกหมาก กับการรับแคลเซี่ยมที่มากเกินไป

       แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับการเชื่อมโยงดังกล่าว

       อาการท้องผูกมักพบในเด็กเล็กที่บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ที่ทานเข้าไปเป็นปริมาณมาก อีกทั้งเด็กนั้น เป็นคนชอบทานอาหารแปรรูป ในขณะที่มีนิสัยที่ชอบทานอาหารที่มีกากใยต่ำ


* * * Monoamine oxidase inhibitors ( MAOIs ) 

       Monoamine oxidase inhibitors ( MAOIs ) คือยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าและโรคพาร์กินสัน

       ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ที่ใช้ยานี้ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดอะมิโนสูง

       และอาหารที่มีกรดอะมิโนสูง ก็คือ ชีส ,อาหารดอง ,เบียร์ และไวน์

       ยิ่งอาหารถูกบ่มไว้นานเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้มี tyramine มากขึ้นเท่านั้น ( สารไทรามีน (  Tyramine  ) พบว่าเป็นองค์ประกอบธรรมชาติในอาหาร เช่น เนยแข็งที่บ่ม ปลารมควัน เนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธียืดอายุ ของหมักดอง อาหารที่มีส่วนประกอบของยีสต์ เบียร์ เป็นต้น ผู้ที่มีความไวต่อสารไทรามีน เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง )


* * * โรคไมเกรน และอาการปวดหัว

       สาร tyramine ทำให้โรคไมเกรน และอาการปวดหัวกำเริบ

       ข้อแนะนำคือ ควรบันทึกไว้ในสมุดส่วนตัวว่า อาหารแบบไหนที่มีส่วนผสมของ tyramine ที่จะก่อให้เกิดอาการโรคไมเกรน และอาการปวดหัวกำเริบ  /  ครั้งต่อไป เราจะได้หลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้น



คำฝาก :

* * * ชีส มีประโยชน์มากต่อสุขภาพ  อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ  และหลอดเลือด หรือมีน้ำหนักตัวมาก ควรเลือกชีสที่โซเดียมต่ำและไขมันต่ำ


* * * ชีสแปรรูป และ "อาหารชีส" มักจะมีเพิ่มไขมันและเกลือเข้าไปมากกว่าปกติ  /  ดังนั้น จึงควรเลือก ชีสที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์นมตามธรรมชาติ และเป็นแบบที่มีไขมันต่ำ


* * * บลูชีส ( Blue cheese ) แม้จะมีไขมันสูง แต่ใช้เพิ่มรสชาติอาหารได้ด้วยการละลายเล็กน้อยในซอส หรือโรยหน้าใส่สลัดผัก ก็จะทำให้ไม่ต้องรับแคลอรี่มากเกินไป       


* * * การซื้อชีสที่ผลิตจากนมอินทรีย์ ( Organic milk ) สามารถช่วยลดการรับสารปฏิชีวนะเข้าร่างกายได้ 



คำฝากสุดท้าย : 

* * * ชีสเป็นแหล่งของแคลเซียมที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่ "ไม่มีอาการแพ้"  แต่อย่างไรก็ตาม ควรเลือกด้วยความระมัดระวัง และบริโภคในระดับปานกลาง


* * * นักกำหนดอาหารที่ลงทะเบียน ( Registered dietitian ) สามารถให้คำแนะนำคุณในการบริโภคนมหรือผลิตภัณฑ์นมได้ 



- END -