Wednesday, October 20, 2021

Ketogenic diet - การทานแบบ "คิโต"

 




       เพื่อน ๆ เคยลดน้ำหนักกันวิธีไหนบ้างคะ ออกกำลังกาย, อดอาหาร , กินอาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก , รับประทานอาหารคลีน หรือที่ฮิต ๆ กันในตอนนี้อย่าง “คีโต” หลายคนอาจเคยได้ยินการลดน้ำหนักในรูปแบบคีโต หรือ “คีโตเจนิค” แต่หลาย ๆ คนอาจยังไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วการลดน้ำหนักโดยการรับประทานแบบคีโตเจนิคจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ วันนี้จะพาไปหาคำตอบกัน


คีโตเจนิค คืออะไร?

       การกินคีโตคือการวางแผนการรับประทานอาหารที่มีหมู่คาร์โบไฮเดรตที่ต่ำเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างลดเร็ว อาหารคีโตทั่วไปจะประกอบไปด้วยไขมันเน้น ๆ ประมาณ 70 – 80% และรองลงมาเป็นหมู่โปรตีน 16-20 % ส่วนแคลอรี่ที่เหลือเพียง 5-10% นี้แหละค่ะจะมาจากหมู่คาร์โบไฮเดรตหรืออาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล เป็นต้น 

       ซึ่งหากคุณเป็นหนึ่งคนที่บริโภคอาหาร 2,000 แคลอรี่ต่อวัน นั่นหมายความว่าคุณสามารถรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผักและผลไม้เพียง 100 แคลอรีต่อวันเท่านั้น เมื่อคุณรับประทานด้วยวิธีคีโต ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “คีโตซีส” ( Ketosis ) หรืออธิบายง่าย ๆ นั่นคือ ร่างกายของคุณได้เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดและจำเป็นต้องเริ่มเผาผลาญไขมันเพื่อเป็นพลังงานต่อไป 



ผลข้างเคียงจากการกินอาหารคีโต 

       เป็นเรื่องจริงที่การปฏิบัติตามสูตรอาหารที่มีไขมันสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำอย่างคีโตเจนิตอย่างเคร่งครัด สามารถช่วยขยับตัวเลขในเครื่องชั่งได้ แต่เชื่อมั้ยว่า การลดน้ำหนักแบบคีโตนี้มีผลข้างเคียงอื่น ๆ จากอาหารคีโตที่คุณรับประทานเข้าไป บางส่วนอาจจะเป็นผลดี แต่บางส่วนอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณได้ นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับอันตรายและผลกระทบจากอาหารคีโตก่อนตัดสินใจลองด้วยตัวคุณเอง


1.ไข้คีโต

       อ่านไม่ผิด คุณสามารถเป็นไข้คีโตได้ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ใช่ไข้หวัดที่คุณจะรู้สึกตัวร้อนหรือไม่สบายหรอกนะ การเป็นไข้คีโตไม่ได้เกี่ยวกับอุณหภูมิแต่อย่างใด หากแต่คุณจะเกิดอาการอึดอัด ไม่สบายตัว เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ และท้องร่วงได้ นั่นเป็นเพราะการที่คุณตัดคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลัก และทำให้ร่างกายของคุณสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็วในช่วงแรก ๆ แต่ปกติแล้วคุณจะเริ่มรู้สึกดีขึ้นใน 1 - 2 สัปดาห์ 

       นอกจากนี้การที่คุณรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ คุณจึงไม่อาจได้รับคาร์โบไฮเดรตที่จำเป็นต่อการผลิดเซโรโทนิน ( Serotonin ) ซึ่งเป็นสารเคมีในสองที่ช่วยควบคุมอารมณ์เช่นเดียวกับการนอนหลับและความอยากอาหาร ซึ่งนั่นก็อาจทำให้คุณรู้สึกว่าไม่มีความสุขหรือมีอารมณ์ที่แปรปรวนเกิดขึ้นได้ 


2. พฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไป 
 
       ใช่!! คุณจะมีพฤติกรรมการกินของคุณที่อาจเปลี่ยนไป เพราะการตัดคาร์โบไฮเดรตออก เหมือนเป็นการทำให้สมองที่ปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า นิวโรเปปไทด์วาย ( neuropeptide Y หรือ NPY ) ซึ่งจะบอกร่างกายของเราว่า ฉันต้องการคาร์โบไฮเดรตนะ  แต่เมื่อเราไม่ได้รับคาร์โบไฮเดรดเหล่านั้นตามที่ร่างกายของเราต้องการ สารเคมีตัวนี้แหละค่ะที่จะถูกสร้างขึ้นและสามารถเพิ่มความอยากซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนารูปแบบการกินที่ไม่ค่อยจะมีวินัย กินจุกกินจิก ซึ่งล้วนแล้วจะเกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางชีววิทยาของร่างกายต่อการที่เราตัดคาร์โบไฮเดรตไปนั่นเอง 


3. น้ำหนักคุณอาจขึ้นมาอีกครั้ง 

       ถึงแม้ว่าอาหารคีโตเป็นที่เลื่องลือมากว่าสามารถลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วแซงทางโค้งในตอนแรก นั่นเป็นเพราะคาร์โบไฮเดรตมีน้ำมากกว่าโปรตีนหรือไขมัน ดังนั้นเมื่อคุณหยุดรับประทานอาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตนั้น ส่วนเกินทั้งหมดจึงถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้เวลาคุณยืนบนเครื่องชั่ง จะเห็นตัวเลขที่น้อยลงไปและทำให้คุณดูผอมลงเล็กน้อยนั่นเอง แต่พอกินมสักพัก เอ๊ะ!!! ทำไมน้ำหนักไม่ลดลง? หรือ ลดลงช้าจัง? ซึ่งหลายคนก็เริ่มมีความกังวลใจแล้วใช่มั้ยล่ะ !


4. อาการท้องผูก 

       อาหารคีโตอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยสำหรับคนที่วางแผนการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ รวมถึงการรับประทานอาหารแบบคีโต เพราะเมื่อร่างกายของคุณขับน้ำออกมามากขึ้น เป็นไปได้ที่จะทำให้ไม่มีน้ำมากพอที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ หรืออาหารที่เรารับประทานเข้าไปเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก แทนที่จะผ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างราบรื่น ก็เหมือนมีอะไรไปอุดตันไม่ให้ออกมา การเพิ่มปริมาณน้ำของคุณก็ช่วยได้นะ


5. อาการท้องร่วง 

       ในขณะเดียวกัน คุณอาจมีอาการท้องร่วงได้นะ เนื่องจากเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ตับของเราจะปล่อยน้ำดีเข้าไปในระบบย่อยอาหารเพื่อช่วยในการย่อยสลายการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ๆ เช่น อาหารคีโต

       นั่นหมายความว่าตับต้องปล่อยน้ำดีออกมามากเกินไปเพื่อใช้ในการย่อยสลายไขมัน อีกทั้งน้ำดีก็ยังถือว่าเป็นยาระบายตามธรรมชาติ ดังนั้นการที่มีน้ำดีมากจนเกินไป จึงทำให้อุจจาระมีการเร่งสปีดที่เร็วขึ้นในการเคลื่อนผ่านระบบการย่อยอาหารของคุณ ซึ่งนำไปสู่อาการท้องร่วงนั่นเอง


6. การหายใจที่เปลี่ยนไป 

       เราเรียกผลข้างเคียงนี้ว่า “Keto Breath” เกิดจากการที่ร่างกายของคุณเข้าสู่ภาวะคีโตซิส มันจะเริ่มสร้างผลพลอยได้ตัวหนึ่งที่เราเรียกว่า “คีโตน” ซึ่งรวมถึงอะซิโตนด้วย เป็นสารเคมีที่ร่างกายของคุณผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติ และการที่จะขับคีโตนออกจากร่างกายคุณได้นั้นคือการที่คุณต้องหายใจออก และโดยปกติลมหายใจจะมีกลิ่นที่แตกต่างออกไปด้วย 


7. กระหายน้ำตลอดเวลา

       อย่าแปลกใจ หากคุณพบว่าทำไมฉันถึงคอแห้งตลอดเวลาในขณะที่รับประทานอาหารคีโต นั่นเป็นเพราะการขับน้ำที่เพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายของคุณกระหายน้ำมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ปัสสาวะคุณมีสีใสหรือสีเหลืองจาง ๆ 


8. ความอยากอาหาร

       การลดน้ำหนักมักหมายถึงการที่เรามีความรู้สึกหิว และกำลังต่อสู้กับความอยาก ความโหยอาหารที่มากขึ้น แต่เมื่อคุณลดน้ำหนักด้วยคีโต กลายเป็นว่าคุณรู้สึกตรงกันข้าม ไม่ได้รู้สึกหิว หรืออยากอาหารมากมากขนาดนั้น ซึ่งมันดูสวนทางกับการลดน้ำหนักซะเหลือเกิน แต่กระนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่านก็ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ แต่วิเคราะห์กันว่าอาจจะเป็นเพราะการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก สามารถยับยั้งการผลิตฮอร์โมนแห่งความหิว อย่าง ฮอร์โมนเกรลิน ( Ghrelin Hormone ) ได้นั่นเอง 


9. ผิวพรรณที่อาจแย่ลง 

       คุณอาจเริ่มสังเกตเห็นความแตกต่างของผิวในการรับประทานอาหารคีโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเคยเป็นหนึ่งคนที่ติดน้ำตาลมาก่อน การขึ้น ๆลง ๆ มาก ๆ ของระดับน้ำตาลในบางคน อาจจะไปส่งสัญญาณการปล่อยฮอร์โมนที่เพิ่มการผลิตน้ำมัน ทำให้เกิดรูขุมขน ทำให้เกิดสิวได้


10. อาการสมองล้า

       บางคนจะอาจรู้สึกเหมือนสมองของเรามีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ทำให้เกิดอาการสมองล้า นั่นเป็นเพราะสมองของเราต้องการคาร์โบไฮเดรตประเภทที่เหมาะสมสำหรับพลังงานและคนที่รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ อาจทำให้มีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายต้องการไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้สมองล้า ความจำสั้น และไม่ค่อยมีสมาธิได้ 


11. ภาวะไตเครียด 

       ไตมีบทบาทสำคุญในการเผาผลาญโปรตีนและเป็นไปได้ว่าการที่คุณรับประทานสารอาหารที่มากจนเกินไปนั้นอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของไต โดยเฉพาะอาหารคีโตที่เน้นในเรื่องของอาหารที่มีไขมันสูงกว่าอาหารประเภทโปรตีนนั่นเอง 


12. ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ 

       ถึงแม้การที่เรารับประทานอาหารคีโตที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำเป็นพิเศษจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนและโรคเบาหวานประเภท 2 ลงได้ แต่การที่อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำซึ่งส่วนใหญ่ส่วนใหญ่เป็นแหล่งไขมัน เช่น เนื้อสัตว์ เนย และชีสมาก ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ คุณจึงควรดูแลในเรื่องของคอเลสเตอรอลและสุขภาพหัวใจโดยแพทย์เป็นประจำด้วยนะ 



       ถึงแม้ว่าอาหารคีโตเจนิค จะสามารถใช้ในการลดน้ำหนักและจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ แต่เราก็สามารถเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่อร่อยและหลากหลายได้โดยเสริมด้วยการลดน้ำหนักแบบคีโต เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายทั้งหมดของคุณเอง หากคุณรู้สึกว่ามีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากผลข้างเคียงจากการลดน้ำหนักแบบคีโต ก็ควรขอคำแนะนำหรือปรึกษาแพทย์ และอย่าลืมว่าการออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายของคุณแข็งแรงแถมมีหุ่นสวย ๆ ได้อีกด้วย
 


Ketogenic diet

การทานแบบ "คิโต"


อาหารคีโต กินอะไรได้บ้าง ? 

       หากคุณเลือกที่จะใข้วิธีคีโตเจนิคในการลดน้ำหนัก การเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ลองไปอ่านดูเลยว่ามีอะไรบ้าง?

อาหารทะเล :

       โดยเฉพาะอาหารทะเลประเภทปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาซาบะ หรือ ปลาแมคคาเรล ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และวิตามินบีรวม


ผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ : 

       แน่นอนว่าผักเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพราะมีทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ แต่หากเราเลือกรับประทานผักหรือพืชที่คาร์โบไฮเดรตสูง 


       อย่างเช่น มันฝรั่ง ที่อาจทำให้ร่างกายของคุณรับประทานแป้งมากเกินไป เพราะฉะนั้นควรเลือกรับประทานผักที่มีแป้งต่ำ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง , บลอคโคลี่ , กระหล่ำดอก , ผักโขม , มะเขือเทศ , แตงกวา , ซูกีนี และผักกาดแก้ว เป็นต้น


ชีส :

       ชีสถือเป็นอาหารโปรดของผู้ที่ลดน้ำหนักแบบคีโต เพราะชีสมีคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ แต่ให้ไขมันสูง ซึ่งคุณสามารถเลือกรับประทานชีสที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำได้เช่น ครีมชีส , บลูชีส , เชดด้าชีส , พาเมซอนชีส , โมเซลล่าชีส และโพรวาโลนชีส เป็นต้น 


อะโวคาโด : 

       อะโวคาโดถือเป็นอาหารที่ให้ทั้งไฟเบอร์ และอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม แถมเป็นไขมันดีและมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ  


เนื้อสัตว์ต่าง ๆ : 

       การรับประทานเนื้อสัตว์ถือเป็นการได้รับโปรตีนเน้น ๆ แถมยังไม่มีคาร์โบไฮเดรตมาให้กวนใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินบี และแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย   


ไข่ :

       ไข่นี่ถือเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุดอีกหนึ่งอย่างในจักรวาลนี้ ซึ่งไข่ 1 ฟองให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 1 กรัมเท่านั้นเอง 


กรีกโยเกิร์ต :

       โดยเฉพาะกรีกโยเกิร์ตแบบรสดั้งเดิมที่ไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ให้โปรตีนสูงแต่คาร์โบไฮเดรตต่ำ ที่คุณสามารถเลือกเป็นอาหารว่างในระหว่างการลดน้ำหนักแบบคีโตได้ 


น้ำมันมะกอก : 

       ซึ่งเป็นแหล่งไขมันดีที่ปราศจากคาร์โบไฮเดรต ดีต่อสุขภาพหัวใจ และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ 


ถั่วต่าง ๆ :

       จัดเป็นอาหารไขมันดีที่คาร์โบไฮเดรตต่ำ เช่น อัลมอนด์ , แมคคาเดเมีย , มะม่วงหิมพานต์ , พิคาชิโอ หรือ แม้แต่เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เช่น เมล็ดเจีย , เมล็ดฟักทอง , งา หรือ แฟลกซ์ซีด ก็มีประโยขน์และสามารถนำมาเป็นของว่างก็ดีเหลือเกิน 


ผลไม้ตระกูลเบอรี่ : 

       ไม่ว่าจะเป็นแบลคเบอรี่ , บลูเบอรี่ , สตรอเบอรี่ หรือราสเบอรี่ ที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำมากเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ 


ดาร์กชอคโกแลตหรือผงโกโก้ :

       หลาย ๆ คน คงยิ้มหวานเมื่อนึกถึงอาหารประเภทนี้เลยใช่มั้ย ก็ทั้งอร่อยทั้งหอม แถมยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย แต่ก็ต้องเลือกที่ปราศจากน้ำตาลด้วยนะ  


น้ำมันมะพร้าว : 

       ใช่แล้ว !! น้ำมันมะพร้าวเหมาะมากสำหรับคนที่จะลดน้ำหนักแบบคีโต เพราะน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติพิเศษที่มีกรดไขมันหลักในน้ำมันนั่นก็คือกรดลอริก ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคอ้วนสามารถลดน้ำหนักและไขมันหน้าท้องได้นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมระบบเผาผลาญให้เราได้เบริ์นไขมันหน้าท้องได้อีกด้วย 



ประเภทของคีโตเจนิค

       อาหารคีโตเจนิคมีหลากหลายประเภท ได้แก่: 

       1.อาหารคีโตเจนิคมาตรฐาน ( SKD ) : คือการรับประทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตต่ำ โปรตีนปานกลาง และอาหารที่มีไขมันสูง โดยทั่วไปประกอบด้วยไขมัน 70% โปรตีน 20% แลรับประทานคาร์โบไฮเดรตเพียง 10% เท่านั้น 


       2.อาหารคีโตเจนิคแบบวัฏจักร ( CKD ) : อาหารนี้จะเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่มีการรับประทานคาร์โบไฮเดรตเข้าไปสูงขึ้น เช่น รับประทานแบบคีโตเจนิค 5 วัน และอีก 2 วันจะรับประทานคาร์โบไอไฮเดรตที่สูง


       3.อาหารคีโตเจนิคแบบกำหนดเป้าหมาย ( TKD ) : อาหารนี้ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มคาร์โบไฮเดรตได้เมื่อมีการออกกำลังกายร่วมด้วย 


       4.อาหารคีโตเจนิคโปรตีนสูง : รูปแบบนี้จะค่อนข้างคล้ายคลึงกับอาหารคีโตเจนิคมาตรฐาน แต่จะไปเน้นหมู่โปรตีนที่มากกว่า ซึ่งอัตรส่วนมักจะเป็นไขมัน 60% โปรตีน 35% และรับประทานคาร์โบไฮเดรต 5% 



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ข้อดี ของการกินคิโต 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     


       การกินอาหารแบบคีโตเจนิคมีข้อดี คือ

       1. การกินอาหารแบบคีโตน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 2 เดือนแรก 


       2. การกินอาหารแบบคีโตสามารถกินไขมันได้ไม่จำกัด ไม่จำเป็นต้องนับแคลอรี่ 


       3. การกินอาหารแบบคีโตจะทำให้อิ่ม เร็ว อิ่มนาน เพราะโปรตีนและไขมันจะมีฤทธิ์ในการลดความอยากอาหาร แถมยังให้พลังงานที่สูงอีกด้วย 




- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

ข้อเสีย ของการกินคิโต 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -     



       คีโตเจนิค หรือการกินอาหารแบบคีโตมีข้อเสีย คือ

       1. กินคีโตร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน เพราะมีการรับประทานไขมันในปริมาณมาก เพื่อทดแทนการรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล 


       2. เมื่อใดก็ตามที่ผู้กินอาหารแบบคีโต กลับมารับประทานอาหารตามปกติ น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกกันว่า ปรากฎการโยโย่เอฟเฟค นั่นเอง 


       3. การกินอาหารแบบคีโต จะมีผลกระทบกับผู้ที่เป็นโรคตับ เพราะการเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงาน ( เช่นเดียวกับการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน ) เกิดขึ้นที่ตับ ดังนั้นผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคตับต่างๆ ห้ามรับประทานอาหารแบบคีโตอย่างเด็ดขาด 


       4. การกินอาหารแบบคีโต ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากมีการรับประทานโปรตีนในปริมาณมาก รองลงจากไขมัน ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้ที่ไตมีปัญหาได้เช่นกัน 


       5. การกินอาหารแบบคีโต ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องการเผาผลาญไขมัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง และปัญหาเกี่ยวกับไตรกลีเซอไรด์


       6. การกินอาหารแบบคีโต ไม่เหมาะกับผู้มีปัญหาเกี่ยวกับการบีบตัวของลำไส้ ระบบย่อยอาหารไม่ดี การกินแบบคีโตจะทำให้เกิดปัญหากรดไหลย้อนได้ 


       7. การกินอาหารแบบคีโต ในผู้ป่วยเบาหวานอาจต้องปรับยา ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนตัดสินใจเลือกวิธีควบคุมน้ำหนักด้วยวิธีการนี้ 



       การกินอาหารแบบคีโต มักจะเห็นผลได้เร็วในระยะสั้น และเป็นวิธีการที่รวดเร็วกว่าการลดน้ำหนักวิธีอื่น ซึ่งโดยปกติแล้วการกินอาหารแบบคีโต จะทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 6 เดือนแรก แต่ในระยะยาวแล้ว ประสิทธิภาพของการลดน้ำหนักไม่แตกต่างไปจากวิธีการอื่นๆ ทั้งนี้เพราะผู้รับประทานอาหารคีโตจะเกิดความเบื่อหน่าย และไม่อยากรับประทานอีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ ปรากฎการณ์โยโย่เอฟเฟค นั่นเอง!


- จบ -