Friday, April 11, 2025

สร้างต้นขาด้านาหน้าภายใน 8 อาทิตย์

 



สร้างต้นขาด้านหน้าภายใน 8 อาทิตย์


ข้างล่างนี้ )



 

ต้นขาระเบิดใน 8 สัปดาห์!

กุญแจสำคัญของคุณในการสร้างต้นขาให้หนาและกว้าง 




ทำไมคุณถึงต้องพัฒนากล้ามต้นขา ( Quadriceps ) อย่างถึงขีดสุด? 

       กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า หรือที่มักจะเรียกกันว่า “ควอด” ( quads ) คือกล้ามเนื้อที่ใหญ่และทรงพลังที่สุดในร่างกายของคุณ เทรนเนอร์บางคนอาจจะยอมรับได้ถ้าตัวเองมีกล้ามส่วนบนที่ดี แต่กลับมีต้นขาที่ดูธรรมดา หรือแม้กระทั่งน่าผิดหวังเมื่อเปรียบเทียบกัน — แต่พวกเขาไม่อาจเรียกตัวเองว่าเป็นนักเพาะกายอย่างแท้จริงได้เลย นักเพาะกายที่แท้จริงจะฝึกกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกาย โดยมีเป้าหมายคือการสร้างสรีระที่มีความสมดุลทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า

       แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป แม้แต่ในระดับสูงของการแข่งขันเพาะกายระดับมืออาชีพเองก็ตาม นักเพาะกายชื่อดังอย่าง สตีฟ รีฟส์ ( Steve Reeves ) , จอห์น กริมเน็ค ( John Grimek ) , ไปจนถึง อาร์โนลด์ ชวาร์ลเซเน็กเกอร์ ( Arnold Schwarzenegger ) และ แฟรงก์ เซน ( Frank Zane ) ต่างก็มีต้นขาที่ดี แต่ก็ยังไม่มีอะไรโดดเด่นเท่ากับกล้ามเนื้อช่วงบนที่ทรงพลังของพวกเขา

       จนกระทั่ง ทอม แพลตซ์ ( Tom Platz ) เจ้าของฉายา "พญาอินทองคำ" ( The Golden Eagle ) ปรากฏตัวขึ้นในช่วงประมาณหนึ่งในสี่ศตวรรษก่อน และแสดงให้พวกเราเห็นว่าสามารถพัฒนาต้นขาไปได้ไกลขนาดไหน เขาทำให้เห็นว่านักเพาะกายควรให้ความสำคัญกับการฝึกขามากขึ้น และกล้ามขาล่างก็กลายมาเป็นเรื่องหลักในการฝึกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

       หลังจากนั้น การแข่งขันเพาะกายก็มีผลแพ้ชนะที่ตัดสินกันจากว่าใครมีกล้ามขาที่เหนือกว่า — ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของขนาด, รูปทรง, ความชัดเจนของกล้ามเนื้อแต่ละมัด และระดับความฟิตของกล้ามเนื้อ

       และในช่วงหลัง เรายังได้เห็นผู้สืบทอดแนวทางของ ทอม แพลตซ์ อย่างเช่น พอล “ควอดซิลลา” ดีมาโย ( Paul “Quadzilla” DeMayo ) ผู้ล่วงลับ , ไมค์ ฟร็องซัวส์ ( Mike Francois ) , ทอม ปรินซ์ ( Tom Prince ) , เจย์ คัทเลอร์ ( Jay Cutler ) , แบรนช์ วอร์เรน ( Branch Warren ) และ บิ๊ก แรมมี ( Big Ramy ) ซึ่งแต่ละคนก็ได้แสดงให้พวกเราเห็นว่า กล้ามต้นขาที่ใหญ่โตน่าประทับใจสามารถสร้างความตื่นตะลึงได้ไม่แพ้กล้ามแขนที่ดูบ้าพลังเลยทีเดียว 

       พวกคุณส่วนใหญ่อาจไม่ได้มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นแชมป์นักเพาะกาย จุดมุ่งหมายหลักของคุณในการเข้ายิมและซ้อมอย่างหนัก ก็คือเพื่อให้ดูดี หวังว่าคุณคงเข้าใจแล้วว่า การดูดีนั้นควรหมายถึงการมีรูปร่างทั้งร่างกายที่น่าภาคภูมิใจ ไม่ใช่แค่การมีเพียงกล้ามเนื้อสวย ๆ สองมัดเอาไว้อวดเวลาสวมเสื้อรัดรูป

       และถ้าหากเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การฝึกเวทหนักก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง การทำงานหนักผ่านท่าฝึกที่โหดที่สุดสำหรับร่างกายส่วนล่าง เช่น การสควอท จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน และกระตุ้นให้ทั้งร่างกายเจริญเติบโต 

       มีคำกล่าวเก่า ๆ ที่ว่า “ถ้าอยากมีกล้ามแขนใหญ่ ต้องสควอท” ฟังดูผิวเผินอาจจะไม่สมเหตุสมผล แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นความจริง เพราะการมีต้นขาที่ใหญ่เหมือนลำต้นไม้ — แบบที่เรียกว่าควอดระดับต้นไม้ยักษ์ — ย่อมส่งผลต่อการเติบโตโดยรวมของกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน 

       ผมจะไม่โกหก — การจะสร้างต้นขาแบบนั้นขึ้นมาได้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และต้องทนกับความเจ็บปวดให้ได้เยอะพอสมควร แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็คุ้มค่าทั้งหมด 

       จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างในเวลา 8 สัปดาห์?  

       ในฐานะที่ผมเป็นผู้เขียนบทความในซีรีส์นี้ทุกเดือน ผมรู้สึกว่าควรพูดให้ชัดเจนว่า กล้ามต้นขาระดับตะลึงโลกไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในชั่วข้ามคืน — และแม้แต่ในเวลาแค่ 8 สัปดาห์ก็ยังไม่พอ

       พูดตามความเป็นจริง แม้แต่คนที่มีพันธุกรรมที่ดีเยี่ยมและฝึกได้โหดเหมือนสัตว์ ก็ยังต้องใช้เวลา ตั้งแต่ 2 ถึง 4 ปี กว่าจะสร้างต้นขาที่ทำให้คนอื่นตกตะลึงได้เวลาเห็นคุณใส่กางเกงขาสั้น

       แต่หากคุณมีการฝึกแบบเฉพาะทาง ( specialization ) ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณไม่เคยฝึกต้นขาอย่างหนักมาก่อน หรือไม่เคยฝึกอย่าง “ชาญฉลาด” อย่างแท้จริง — ไม่ว่าจะเป็นเพราะคุณขาดแรงจูงใจ หรืออาจกำลังทำผิดพลาดพื้นฐานอยู่หนึ่งหรือหลายข้อ

       หลังจากคุณอ่านบทความนี้จบ คุณจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงวิธีสร้างผลลัพธ์ และจะพร้อมที่จะก้าวเดินอย่างมั่นคงไปสู่การสร้างต้นขาที่ดีที่สุดตามศักยภาพของคุณเอง 




 



พันธุกรรมกับการสร้างกล้ามต้นขา ( QUADS )  

       พันธุกรรมมีบทบาทในพัฒนาการของกล้ามเนื้อทุกกลุ่ม แต่ผมไม่เชื่อว่ายีนที่ไม่เอื้ออำนวยจะเป็นสาเหตุหลักของการที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างกล้ามต้นขาได้ในยิมทั่วโลก สาเหตุที่แท้จริงก็คือ "ความขี้เกียจ" ต่างหาก 

       การฝึกต้นขา โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงท่าสควอท ถือเป็นหนึ่งในการฝึกที่หนักหน่วงและทรมานร่างกายที่สุด คนจำนวนมากไม่ยอมฝึกขาอย่างจริงจัง บ้างก็หลีกเลี่ยงท่าฝึกที่หนักและความเข้มข้นที่สูง หรือบางคนก็ฝึกไม่เพียงพอ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ “โชว์ง่าย” อย่างเช่น กล้ามแขนหรือกล้ามอกแทน 

       หากจะมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความยากหรือง่ายในการสร้างต้นขาแล้วล่ะก็ ปัจจัยนั้นคือ “ความสูง” — หรือให้เจาะจงกว่านั้นก็คือ ความยาวของกระดูกต้นขา ( femur )

       กล่าวคือ ยิ่งกระดูกต้นขายาวมากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็จะยิ่งยากขึ้นในการสร้างต้นขาที่ดูน่าทึ่งให้กับตัวเอง นี่เป็นทั้งเรื่องของฟิสิกส์และเรื่องของความสวยงามในแง่สัดส่วน ยิ่งขายาว ก็ยิ่งมีระยะทางมากขึ้นที่ต้องกดผ่านในการฝึก เช่น สควอทและเลกเพรส อีกทั้งยังต้องเติมเต็มด้วยมวลกล้ามเนื้อให้ดูแน่นมากขึ้นด้วย

       ลองนึกภาพชายสองคนที่กำลังสควอท — คนหนึ่งสูง 5 ฟุต 4 นิ้ว และอีกคนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว คนที่ตัวเตี้ยกว่าจะสามารถสควอทน้ำหนักได้มากกว่าคนตัวสูง แม้ว่าคนตัวสูงจะหนักกว่าถึง 45.36 กก. ( 100 ปอนด์ ) ก็ตาม

       การที่ตัวเตี้ยลงพื้นมากกว่า ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก และเมื่อชายที่ตัวเตี้ยสามารถสร้างกล้ามต้นขาที่มีรอบต้นขา 25–28 นิ้ว (63.5–71.1 ซม.) ได้สำเร็จ มันจะดูใหญ่และแน่นจนเหลือเชื่อ

       ชายที่สูง 6 ฟุต 4 นิ้ว ( 193.04 ซม. ) ที่มีรอบต้นขาเท่ากัน อาจถูกเรียกว่า "ขาไก่" ในวงการเพาะกาย เพราะมันดูไม่หนาแน่นเท่ากัน หากชายที่สูงต้องการสร้างต้นขาให้ดูน่าทึ่งในระดับเดียวกัน เขาจะต้องมีรอบต้นขาประมาณ 32–35 นิ้ว ( 81.28–88.90 ซม. ) และแน่นอนว่า จะต้องใช้เวลามากกว่าคนตัวเตี้ยกว่ามาก 

       แต่สิ่งนี้ไม่ควรเป็นเหตุผลให้คนตัวสูงท้อถอย — เราทุกคนมีความสามารถเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน และทุกคนสามารถพัฒนาได้ ถ้าเราตั้งใจและทุ่มเทอย่างเต็มที่ 






การวางโปรแกรมฝึกต้นขาให้ได้ผล 

       โชคดีที่การฝึกกล้ามต้นขาไม่ใช่วิทยาศาสตร์จรวดอะไรทั้งนั้น มันควรจะยึดหลักท่าฝึกแบบ compound ที่เน้นการเคลื่อนไหวหนัก ๆ เช่น สควอท และ เลกเพรส แล้วเสริมด้วยท่าฝึกที่เน้นการเก็บรายละเอียด ( isolation ) อย่างเช่น เลกเอ็กซ์เทนชัน และ ลันจ์ เพื่อให้โปรแกรมสมบูรณ์

       ต่อไปนี้คือตัวอย่างโปรแกรมฝึกต้นขาที่คุณสามารถใช้ได้ตามระดับประสบการณ์ของคุณ: 


ระดับเริ่มต้น ( ฝึกมาไม่เกิน 1 ปี )

* * * Squats : 5 เซต x 20, 15, 12, 10, 8 ครั้ง

* * * Leg Press: 3 เซต x 15, 12, 10 ครั้ง



ระดับกลาง ( ฝึกมา 1–3 ปี ) 

* * * Squats: 4 เซต x 15, 12, 10, 8 ครั้ง

* * * Leg Pres: 4 เซต x 20, 15, 12, 10 ครั้ง

* * * Leg Extensions: 4 เซต x 12–15 ครั้ง

* * * Barbell Lunges: 3 เซต x 12–15 ก้าว ต่อข้าง


ระดับสูง ( ฝึกมา 4 ปีขึ้นไป )

* * * Squats: 5 เซต x 8–10 ครั้ง

* * * Leg Pres: 5 เซต x 12–15 ครั้ง

* * * Hack Squats: 4 เซต x 10–12 ครั้ง

* * * Leg Extension: 4 เซต x 12–15 ครั้ง

* * * Dumbbell Lunges: 4 เซต x 12–15 ก้าว ต่อข้าง






การให้กล้ามต้นขามี “วันฝึกเฉพาะ” เพื่อโฟกัสอย่างเต็มที่ 

       อย่างที่คุณเห็น การฝึกต้นขาแบบเต็มรูปแบบนั้นค่อนข้างยาวและต้องใช้ความพยายามสูง นั่นก็เพราะกล้ามต้นขานั้นมีศักยภาพในการรับงานหนัก และในขณะเดียวกันก็ต้องการการฝึกที่เข้มข้นมากด้วย 

       คุณเดินบนขาทุกวัน ดังนั้นขาของคุณจึงชินกับการใช้งานอยู่แล้วในการรองรับน้ำหนักตัวในชีวิตประจำวัน กล้ามเนื้อบางกลุ่มอาจสามารถกระตุ้นให้เติบโตได้ด้วยวิธีที่ไม่รุนแรงนัก แต่กล้ามต้นขาแทบจะเป็นกล้ามเนื้อเดียวที่ต้อง "บังคับ" ให้มันโตขึ้น

       คุณต้องให้มันเจอกับปริมาณงานจำนวนมาก ใช้น้ำหนักที่หนัก และต้องฝึกหลายเซตให้ทะลุกำแพงความเจ็บปวดไปให้ได้ หลังจากที่ฝึกจนสุดทางแล้ว คุณควรรู้สึกเหมือนโดนรถบรรทุกพุ่งชน นั่นคือสัญญาณว่าคุณได้ฝึกถึงระดับที่ควร 

       ความเหนื่อยล้าในระดับนั้นจะทำให้การฝึกอย่างอื่นต่อ เช่นแค่ไม่กี่ท่าสำหรับ กล้ามหลังต้นขา ( hamstring ) นั้น "ไร้ประโยชน์" โดยสิ้นเชิง 

       ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ คุณควรฝึกต้นขาในวันแยกของมันเองต่างหากจะดีที่สุด 

       คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะไม่ต้องทำแบบนี้ — นั่นคือผู้โชคดีที่มีกล้ามต้นขาที่ตอบสนองได้ดีมาก ๆ ต่อการฝึก และสามารถโตขึ้นได้จากอะไรก็ได้ที่ทำ

       แต่พูดตามตรง ผมไม่คิดว่าคนกลุ่มนั้นจะอ่านบทความนี้มาถึงตรงนี้หรอกนะ!


ควรวางโปรแกรมฝึกต้นขาไว้ตรงไหนในตารางฝึกประจำสัปดาห์

       กล้ามเนื้อต้นขา ( quadriceps ) มีความยืดหยุ่นมากกว่ากล้ามเนื้อช่วงบนส่วนใหญ่เมื่อต้องจัดเข้าตารางฝึกประจำสัปดาห์ เพราะกล้ามเนื้อกลุ่มเดียวที่มีการใช้งานร่วมกับควอดคือ กล้ามหลังต้นขา ( hamstring )

       คุณไม่ควรฝึกต้นขากับแฮมสตริงในวันติดกัน เพราะแฮมสตริงมีส่วนร่วมในทุกท่าฝึก compound ที่ใช้ฝึกควอด เช่น สควอท, เลกเพรส และลันจ์

       อีกเรื่องที่ควรพิจารณาก็คือ หากคุณมีการฝึก เดดลิฟต์ เพื่อสร้างกล้ามหลัง ควอดของคุณก็จะถูกใช้งานหนักไปพร้อมกับกล้ามหลังและไบเซปส์ด้วยเช่นกัน

       ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการวางโปรแกรมฝึกให้ควอดเข้ากับตารางฝึกประจำสัปดาห์ โดยพยายามเว้นระยะห่างอย่างน้อย 72 ชั่วโมงระหว่างการฝึกควอดกับการฝึกกล้ามหลังและแฮมสตริง 


บบตารางฝึก SPLIT A

* * * วันจันทร์: หลัง และแฮมสตริง 

* * * วันอังคาร: อก และไตรเซปส์ 

* * * วันพุธ: ต้นขา ( ควอด )

* * * วันพฤหัสบดี: หัวไหล่ และไบเซปส์ 


แบบตารางฝึก SPLIT B ( สำหรับคนที่สามารถเข้ายิมวันละ 2 รอบในวันฝึกขา ) 

* * * วันที่หนึ่ง: หลัง

* * * วันที่สอง: อก

* * * วันที่สาม: ขา — ฝึกควอดตอนเช้า, แฮมสตริงตอนบ่ายหรือเย็น 

* * * วันที่สี่: หัวไหล่ และแขน 

* * * วันที่ห้า: พัก, แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง






 
       
ภาพบน ) พวกคุณส่วนใหญ่อาจไม่ได้มีความใฝ่ฝันที่จะเป็นแชมป์นักเพาะกาย จุดมุ่งหมายหลักของคุณในการเข้ายิมและซ้อมอย่างหนัก ก็คือเพื่อให้ดูดี




ควรฝึกต้นขาบ่อยแค่ไหน? 

       การฝึกต้นขานั้นส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและระดับพลังงานของร่างกายโดยรวม ดังนั้นไม่ควรฝึกบ่อยเกินกว่าทุก ๆ หกหรือเจ็ดวัน โดยเฉพาะในกรณีของนักฝึกที่ไม่ใช้สารกระตุ้น ( เช่น สเตียรอยด์ ) ที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

       ข้อยกเว้นเดียวคือกรณีของโปรแกรมฝึกเฉพาะทาง ( specialization routine ) ซึ่งจะกล่าวถึงในภายหลัง แต่โดยทั่วไปแล้ว การฝึกต้นขาแบบหนัก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ถือว่า “ไม่ใช่ความคิดที่ดี” และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การ ฝึกหนักเกินไป ( overtraining ) ในแทบจะทุกกรณี

       ทุกครั้งที่คุณจะฝึกต้นขา คุณควรจะฟื้นตัวเต็มที่จากการฝึกครั้งก่อนแล้ว — ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ 

       มันเป็นเรื่องจริงที่มีนักเพาะกายระดับโปรบางคนที่ฝึกต้นขาสัปดาห์ละ 2 ครั้งตลอดทั้งปี แต่เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีทั้ง “พันธุกรรมที่โดดเด่น” สำหรับการรับมือกับการฝึกหนักระดับนั้น และ “ใช้สารกระตุ้น” เหมือนกับที่นักกีฬาระดับโปรในหลายชนิดกีฬาทำกัน — ถ้าไม่ใช่สองเงื่อนไขนี้ ก็อย่าคิดจะทำตามเด็ดขาด


การเชื่อมโยงระหว่างจิตกับกล้ามเนื้อ ( Mind-Muscle Connection ) สำหรับกล้ามต้นขา

       การพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างสมองกับกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักเพาะกาย แต่โชคดีที่กล้ามต้นขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามในจุดนี้มากนัก

       เมื่อคุณเล่นท่า เบนช์เพรส ( bench press ) กล้ามเนื้อ หัวไหล่่ด้านหน้า ( front delts ) และ ไตรเซปส์ อาจรับภาระหนักกว่ากล้ามอกด้วยซ้ำ แต่เมื่อคุณสควอทด้วยฟอร์มที่ดีแล้ว คุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าต้นขาของคุณจะถูกกระตุ้นอย่างเข้มข้นแน่นอน

       คุณไม่จำเป็นต้อง “จินตนาการ” ว่ากำลังใช้ต้นขาในท่าสควอท หรือแม้แต่ท่า leg extension มากนัก — ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการฝึกต้นขานั้นง่าย ( มันไม่ได้ง่ายเลยแน่นอน! ) — เพียงแค่ต้องการให้คุณรู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องโฟกัสกับต้นขาตลอดเวลาว่ามันทำงานหรือไม่ เพราะเชื่อเถอะว่ามันกำลังทำงานอย่างหนักแน่นอน! 






 
       
ภาพบน ) หลังจากที่คุณอ่านมาจนถึงตอนนี้ คุณควรเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าจะสร้างผลลัพธ์ได้อย่างไร และจะอยู่ในจุดที่สามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคง มุ่งสู่การสร้างต้นขาที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถทำได้  




เวทแบบอิสระและเครื่องฝึก – การผสมผสานที่ทรงพลังและได้ผลสูง 

       กล้ามต้นขาจะได้รับการกระตุ้นที่ได้ผลมากที่สุดจากการฝึกผสมระหว่าง เวทแบบอิสระ ( free weights ) และ เครื่องฝึก ( machines ) ท่าอย่าง บาร์เบลสควอท , ฟรอนต์สควอท และ ลันจ์ ล้วนเป็น “ทองคำแท้” สำหรับการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อบริเวณต้นขา

       ขณะเดียวกัน เครื่องฝึกอย่าง เลกเพรส , แฮกสควอท และ เลกเอ็กซ์เทนชัน ก็เป็นส่วนเสริมที่ลงตัวกับเวทแบบอิสระ

       ใครก็ตามที่ฝึกแต่เวทอิสระอย่างเดียว หรือใช้แต่เครื่องฝึกอย่างเดียว จะพลาดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เขาหรือเธอสามารถได้รับ 


      
เล่นทั้งน้ำหนักเบา-หนัก และจำนวนครั้งมาก-น้อย เพื่อการเติบโตที่เร็ว

       อีกปัจจัยที่ควรพิจารณาในการสร้างต้นขาให้ใหญ่ที่สุดก็คือ กล้ามเนื้อส่วนล่าง ( รวมถึงต้นขา ) ตอบสนองต่อช่วงจำนวนครั้งในการฝึก ( rep range ) ที่หลากหลายได้ดีกว่ากล้ามเนื้อส่วนบน

       เหตุผลก็คือ กล้ามเนื้อช่วงล่างมีเส้นใยกล้ามเนื้อแบบเร็ว ( fast-twitch ) และช้า ( slow-twitch ) ผสมกันอยู่มาก ดังนั้นเพื่อให้ครอบคลุมทุกมัดกล้าม ท่า compound ต่าง ๆ ควรถูกฝึกทั้งแบบจำนวนครั้งน้อย ( 5 Reps ) ไปจนถึงจำนวนมาก ( 20 Reps ) หรือในบางครั้งอาจมากถึง 50 ครั้งเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ตกใจ

       สิ่งนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น สลับกันฝึกวันหนัก-วันเบา หรือแม้แต่รวมไว้ในวันเดียวโดยใช้วิธี "พีระมิด" ( pyramiding ) นั่นคือ เริ่มจากน้ำหนักเบา จำนวนครั้งมาก แล้วค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักและลดจำนวนครั้งลง


ตัวอย่างการสควอทแบบพีระมิด:

* * * 135 ปอนด์ ( 61.23 กก. ) × 20

* * * 185 ปอนด์ ( 83.91 กก. ) × 15

* * * 225 ปอนด์ ( 102.27 กก. ) × 12

* * * 275 ปอนด์ ( 124.74 กก. ) × 10

* * * 315 ปอนด์ ( 142.88 กก. ) × 8

* * * 365 ปอนด์ ( 165.56 กก. ) × 5

       อีกวิธีหนึ่งในการบรรลุผลเช่นเดียวกันคือการใช้ ดรอปเซต ( drop set ) เช่น เริ่มด้วยน้ำหนักที่คุณทำได้แค่ 5–8 Reps จากนั้นลดน้ำหนักลงและทำเพิ่มให้ถึง 10 Reps อีกเซต 


อย่ากลัวการฝึกที่มีวอลุ่มสูง 

       ในนิตยสาร Muscular Development เทรนเนอร์ระดับตำนานอย่าง ชาร์ลส์ กลาส ( Charles Glass ) เคยกล่าวไว้ว่า “จากประสบการณ์ของเขา มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝึกต้นขามากเกินไปในวันเดียว” เพราะกล้ามเนื้อช่วงล่างเจริญเติบโตได้ดีจากปริมาณงาน ( volume )

       แม้คุณไม่ควรฝึกหนักถึงขนาด 8 ชั่วโมงต่อวันอย่างที่โปรบางคนทำ แต่สิ่งที่คุณควรเรียนรู้จากคำพูดของเขาก็คือ กล้ามต้นขาต้องการ “งานหนัก” และ “ปริมาณมาก”
      
       กล้ามแขนของคุณอาจตอบสนองต่อการฝึกแค่ 5–9 เซตต่อสัปดาห์ได้ แต่กล้ามต้นขาเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใหญ่และหนากว่ามาก หลังจากคุณพ้นระดับเริ่มต้นไปแล้ว ก็ค่อนข้างปลอดภัยที่จะบอกว่า คุณต้องใช้เวลา 12–20 เซตต่อสัปดาห์ เพื่อฝึกต้นขาให้เติบโตได้จริง 


คาร์ดิโอช่วยให้กล้ามต้นขาเติบโต — ไม่ใช่ถอยหลัง 

       อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้คุณสร้างต้นขาในระดับสุดยอด คือการผสมการฝึกแบบคาร์ดิโอแบบแอโรบิกไว้ในแผนการฝึก

       มีเทรนเนอร์จำนวนมากที่ตัดคาร์ดิโอออกไปโดยอ้างว่า “จะทำให้กล้ามต้นขาโตช้า” หรือ “ฝึกมากเกินไป” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เว้นเสียแต่ว่าคุณกำลังฝึกเพื่อมาราธอนหรือไตรกีฬาที่ใช้คาร์ดิโอแบบหนักเกินพอดีจริง ๆ ซึ่งนั่นอาจรบกวนการฟื้นตัวและการเติบโตของคุณ

       แต่ถ้าคุณฝึกคาร์ดิโอประมาณ 30–45 นาที สัปดาห์ละ 3–6 ครั้ง ก็ไม่ต้องกังวลเลย ตราบใดที่คุณกินพอ เพราะคาร์ดิโอยังช่วยกระตุ้นความอยากอาหารอีกด้วย ทำให้คุณกินได้ง่ายขึ้น

       อีกสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ก็คือ การมีระบบไหลเวียนและหัวใจที่แข็งแรงจะช่วยให้คุณฝึกได้ “หนักขึ้นและนานขึ้น”

       ยกตัวอย่างเช่น การฝึกเลกเพรสหรือสควอทแบบจำนวนครั้งมาก ๆ นั้นไม่ได้หยุดเพราะกล้ามล้า หรือเพราะกรดแลคติกสะสม แต่มักจะหยุดเพราะ “ร่างกายไม่สามารถเอาออกซิเจนเข้าได้พอ” หรือพูดง่าย ๆ ว่า “หายใจไม่ทัน”

       ลองฝึกเลกเพรสให้ได้ 50 ครั้ง โดยไม่มีหัวใจและปอดที่แข็งแรง — คุณจะรู้เลยว่า “มันเป็นไปไม่ได้”






 
       
ภาพบน ) การพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างสมองกับกล้ามเนื้อ (Mind-Muscle Connection) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเพาะกาย แต่โชคดีที่กล้ามต้นขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากนักในเรื่องนี้




ท่าฝึก

       ต่อไปนี้คือรายการท่าฝึกที่ผมมองว่าได้ผลดีที่สุดในการสร้างกล้ามต้นขา ผมได้เรียงลำดับไว้ตามความสำคัญ โดยเริ่มจากท่าที่เป็น "พ่อใหญ่แห่งการสร้างควอด" ทั้งหมด 


* * * สควอท ( SQUATS )

       มีการพูดถึงพลังอันเกือบจะมหัศจรรย์ของท่าสควอทในการเปลี่ยนต้นขาที่ผอมแห้งให้กลายเป็นลำต้นไม้ใหญ่มาแล้วมากมายจนผมไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำอีก กล่าวสั้น ๆ ง่าย ๆ คือ การฝึกสควอทเป็นทางลัดที่เร็วที่สุดในการสร้างกล้ามต้นขา (ควอด) ให้หนาแน่น

       ควอดที่ดีอาจจะสร้างได้โดยไม่ต้องสควอทในบางกรณี เช่น คนที่มีกล้ามต้นขาที่ตอบสนองดีเป็นพิเศษ ซึ่งโตได้จากแค่ขับรถผ่านหน้าฟิตเนสแล้วแค่ "คิดถึงการฝึกขา" เท่านั้นเอง แต่สำหรับคนทั่วไป การพยายามสร้างควอดโดยไม่สควอท จะกลายเป็นเส้นทางที่ยาวนานและยากเย็น

       เว้นแต่ว่าคุณจะมีอาการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ไม่สามารถสควอทได้เลยจริง ๆ คุณ "ต้อง" ฝึกท่าบาร์เบลสควอทที่โหดเหี้ยมนี้เป็นประจำ หากต้องใช้ท่าอื่นแทนจริง ๆ ให้เลือกใช้ Smith Machine Squats ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกถัดไปที่ดีที่สุด

       คำแนะนำด้านความปลอดภัย ( Performance pointers ):

       เพื่อความปลอดภัย และเพื่อให้คุณสามารถฝึกได้อย่างมั่นใจ ไม่ใช่ฝึกด้วยความกลัว — ควรฝึกสควอทใน Power Rack ถ้าฟิตเนสของคุณมี และควรมี เพื่อนฝึก (spotter) ยืนอยู่ด้านหลังคุณในกรณีที่คุณติดอยู่กลางทาง

       Spotter ควรจะถูกใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อช่วย “บังคับให้ฝืนอีก 1–2 ครั้ง” เท่านั้น ห้ามใช้ spotter ช่วยยกทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้ฝึกอะไรเลย และควอดของคุณก็จะไม่ถูกกระตุ้นให้โตขึ้นอย่างแท้จริง

       ควรใช้เข็มขัดยกน้ำหนักด้วยเช่นกัน แนะนำให้วางบาร์เบลไว้สูงบนบ่าใกล้กับกล้ามเนื้อ trap เพื่อให้ลำตัวอยู่ในท่าที่ตั้งตรงมากขึ้น การวางบาร์ไว้ต่ำลงอาจจะเหมาะกับพาวเวอร์ลิฟเตอร์ที่ใช้กล้ามสะโพกและก้นมากกว่า แต่จะใช้กล้ามควอดน้อยลง

       ยืนกางขาเล็กน้อยกว่าความกว้างของหัวไหล่ ปลายเท้าชี้ออกเล็กน้อย มองตรงไปข้างหน้า ย่อลงให้หัวเข่าอยู่ขนานกับพื้นหรือเลยลงไปเล็กน้อย (เป็นเทคนิคดั้งเดิมของท่าสควอท) จากนั้นดันตัวขึ้นมาโดยไม่ให้เข่างอขึ้น-ลงซ้ำ ๆ แต่ให้ “ย่อลงและยืนขึ้น” ด้วยการควบคุมในแต่ละครั้งอย่างตั้งใจ

       เหมือนกับท่า compound อื่น ๆ เช่น leg press และ hack squat — อย่า “ล็อกเข่า” ที่สุดช่วงจังหวะบนสุด ให้หยุดแค่ก่อนจะล็อกสนิทเล็กน้อย และควรฝึกแบบ เต็มช่วงการเคลื่อนไหว ( full range of motion )

       ขอให้คุณตั้งใจฝึกท่าเต็ม ๆ จนสุดทุกครั้ง แล้วออกจาก Rack แบบภาคภูมิใจ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมากจากการฝึกท่าสควอทด้วยน้ำหนัก 102.27 กก. (225 ปอนด์) แบบเต็มรูปแบบ มากกว่าการฝึกแบบครึ่งทางด้วยน้ำหนัก 183.70 กก. ( 405 ปอนด์ ) เสียอีก 






 
       
ภาพบน ) การฝึกกล้ามต้นขา ( Quadriceps ) ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของท่าฝึก compound แบบหนัก เช่น สควอท และเลกเพรส จากนั้นเสริมด้วยท่าที่เน้นการแยกกล้ามเนื้อ ( isolation ) และควบคุมรายละเอียด เช่น เลกเอ็กซ์เทนชัน และลันจ์ เพื่อให้โปรแกรมฝึกสมบูรณ์




* * * เลกเพรส ( LEG PRESSES ) 

       ท่าฝึกต่อไปที่ถือเป็นท่าฝึกสร้างกล้ามต้นขาแบบพื้นฐานและทรงพลังอีกหนึ่งท่าก็คือ เลกเพรส (Leg Press)

       ท่านี้ช่วยเสริมท่าสควอทได้เป็นอย่างดี และเป็นท่าฝึกที่เหมาะสำหรับต่อเนื่องจากสควอทในทุกโปรแกรมฝึกต้นขา

       หลังจากฝึกสควอทหนัก ๆ ไปไม่กี่เซต ส่วนล่างของหลังคุณมักจะล้าและปวดจากการที่ต้องคอยรักษาสมดุลน้ำหนักจำนวนมากไว้ด้านหลัง ทำให้ความสามารถในการรักษาสมดุลของเวทอิสระลดลงชั่วคราว

       ท่าเลกเพรสจะช่วยให้คุณนอนเอนหลังโดยมีแผ่นรองรับเต็มที่ แล้วผลักน้ำหนักออกไปจากตัว โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการทรงตัวเลย

       คำแนะนำในการฝึก ( Performance pointers ): 

       คุณสามารถเปลี่ยนตำแหน่งวางเท้าบนแท่นกดน้ำหนัก ( platform ) เพื่อเน้นกล้ามเนื้อต้นขาแต่ละส่วนได้แตกต่างกัน

       ตำแหน่งปกติ: วางเท้าอยู่ตรงกลางของแท่น และความกว้างระดับหัวไหล่ แรงต้านจะกระจายอย่างทั่วถึง

       ต้องการเน้นต้นขาด้านใน ( adductors ): ให้วางเท้า “กว้าง” ขึ้น

       ต้องการเน้นต้นขาด้านนอก ( outer thighs ): ซึ่งช่วยสร้างลักษณะการ “ปัดออกด้านข้าง” ให้เท้าอยู่ใกล้กันมากขึ้น

       ต้องการเน้นกล้ามเนื้อ “น้ำตา” ( teardrop ) หรือ vastus medialis: วางเท้าให้ต่ำลงบนแท่น — แต่ต้องระวัง! เพราะตำแหน่งนี้อาจทำให้ปวดเข่าในนักเพาะกายหลายคน

       โดยทั่วไปแล้ว ถ้าจุดประสงค์คือการสร้างกล้ามทั่วไป การวางเท้าแบบมาตรฐานก็เพียงพอแล้ว

       เช่นเดียวกับท่าสควอท — ควรตั้งเป้าให้ฝึกแบบ “เต็มช่วงการเคลื่อนไหว” (full range of motion)

       เทรนเนอร์หลายคนมักจะตั้งเบาะให้อยู่ด้านหน้าเกินไป จนทำให้สามารถลดระดับแท่นลงได้เพียงประมาณ 6 นิ้ว ก่อนที่หัวเข่าจะชนกับซี่โครง นี่เป็นวิธีที่ช่วยให้ใช้เวทหนักขึ้น แต่ความจริงแล้ว จะได้ผลดีกว่าหาก “เลื่อนเบาะถอยหลัง”, ลดน้ำหนักลงสัก 2 แผ่น แล้วทำแบบ full reps

       บางคนอาจทำช่วงการเคลื่อนไหวมากเกินไปจนหลังแอ่นลอยขึ้นจากเบาะ ซึ่งอาจทำให้บาดเจ็บหลังล่างได้ ถ้าเกิดแบบนี้ ให้ลดระดับแท่นกดลง หรือเลื่อนเบาะถอยไปด้านหลัง

       ปัญหาที่พบบ่อยกว่าคือช่วงการเคลื่อนไหวที่ “สั้นเกินไป” — เพราะ leverage ของท่านี้เอื้ออำนวยมาก จึงทำให้ “แทบทุกคน” สามารถใส่น้ำหนักจำนวนมากลงไป และขยับเวทเพียงไม่กี่นิ้วได้ง่าย ๆ

       ฟิตเนสส่วนใหญ่มักมีคนที่ทำเลกเพรสมากกว่าสควอท เพราะพวกเขาชอบ “ความรู้สึกหลงตัวเอง” จากน้ำหนักจำนวนมากบนเครื่องเลกเพรส มากกว่าการยกน้ำหนักจริง ๆ ด้วยบาร์เบล

       แต่ต้องจำไว้ว่า: เลกเพรสควรถูกใช้เป็น “ท่าเสริม” (adjunct) สำหรับสควอท ไม่ใช่ท่าแทนที่ 


ฟรอนต์สควอท (FRONT SQUATS)

อีกหนึ่งท่าที่ทรงพลังในการสร้างกล้ามต้นขาก็คือท่า ฟรอนต์สควอท (Front Squat) ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายรูปแบบของท่าสควอท แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ ตำแหน่งวางบาร์ — โดยฟรอนต์สควอทจะวางบาร์ไว้ด้านหน้า ล้อตรงกระดูกไหปลาร้า ไม่ใช่พาดไว้ด้านหลังบนกล้าม trap แบบสควอททั่วไป

ตำแหน่งนี้จะบังคับให้ลำตัวตั้งตรงเกือบสมบูรณ์แบบ เพราะถ้าคุณเอนไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อย บาร์จะกลิ้งหล่นลงพื้นทันที ท่าทางที่ตั้งตรงนี้ รวมกับตำแหน่งของบาร์ที่อยู่เหนือกล้ามต้นขาโดยตรง ทำให้ฟรอนต์สควอทสามารถ “แยก” กล้ามต้นขาให้ทำงานได้ดีกว่าสควอทแบบปกติ

แม้ว่ากล้ามก้นและกล้ามหลังต้นขาจะยังคงมีส่วนร่วมอยู่ แต่กล้ามต้นขาจะต้องแบกรับภาระส่วนใหญ่ในการทำงาน

นักเพาะกายส่วนใหญ่มักใช้เวทน้อยกว่าสควอทปกติประมาณ 20–40% เมื่อลงฝึกในท่านี้

คำแนะนำในการฝึก (Performance pointers):
แม้ว่าท่าสควอทธรรมดาจะยากต่อการฝึกให้ชำนาญ แต่ฟรอนต์สควอทนั้น “ยิ่งท้าทายกว่ามาก” — เพราะคุณจะต้องใช้แขนกอดบาร์ไว้แน่น และกดให้มั่นคงตลอดการเคลื่อนไหว

มันยังเป็นท่าที่อึดอัดมาก เพราะบาร์จะกดลงบนกระดูกไหปลาร้าของคุณ หากจำเป็น ควรรองด้วยแผ่นรองบาร์หรือผ้าขนหนูเพื่อกันเจ็บ

แม้ว่าจะเป็นท่าที่โหด แต่ฟรอนต์สควอทให้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลในด้านการพัฒนากล้ามต้นขา นักเพาะกายหลายคนที่มีต้นขาอันน่าทึ่งก็มักจะสลับกันฝึกระหว่างฟรอนต์สควอทกับสควอทธรรมดาเป็นประจำ

แฮกสควอท (HACK SQUATS)

แฮกสควอทเป็นท่าลูกผสมระหว่างเลกเพรสและสควอท โดยเครื่องจะช่วยควบคุมแนวการเคลื่อนที่ให้เคลื่อนไปตามราง ในขณะเดียวกันก็มีแผ่นรองหลังช่วยพยุงคุณไว้

แม้จะมีที่พิงหลัง แต่คุณยังคงต้องระวังไม่ให้หลังช่วงล่างงอ เพราะมีนักเพาะกายหลายพันคนที่พบว่าเครื่องแฮกสควอทนั้น “มีประโยชน์อย่างมาก” ในการสร้างกล้ามต้นขา โดยเฉพาะส่วนด้านนอกที่ช่วยเพิ่มความ “ปัดออกด้านข้าง” (outer sweep)

แต่ก็ต้องกล่าวไว้ด้วยว่า บางคนจะมีอาการปวดเข่าเมื่อลงฝึกกับน้ำหนักที่หนักในท่านี้ — อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่สามารถฝึกแฮกสควอทด้วยน้ำหนักมากถึง 408.23 กก. (900 ปอนด์) ได้เป็นประจำ โดยทำ 10–12 ครั้ง โดยไม่มีปัญหาเข่าใด ๆ เลย

คำแนะนำในการฝึก (Performance pointers):
เหมือนกับเลกเพรส — คุณสามารถปรับตำแหน่งการวางเท้าเพื่อเน้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด และควรฝึกด้วย ช่วงการเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ (full range of motion) เสมอ

ป้องกันปัญหาหัวเข่า : ปัญหาเข่าจำนวนมากสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย ๆ เพียงแค่คุณ อย่ากระเด้งตัวขึ้น หรือใช้แรง “ดีดตัว” จากจุดต่ำสุดของการฝึก ( deep rep ) 






* * * ฟรอนต์สควอท ( FRONT SQUATS )  

       อีกหนึ่งท่าที่ทรงพลังในการสร้างกล้ามต้นขาก็คือท่า ฟรอนต์สควอท ( Front Squat ) ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายรูปแบบของท่าสควอท แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ ตำแหน่งวางบาร์ — โดยฟรอนต์สควอทจะวางบาร์ไว้ด้านหน้า ล้อตรงกระดูกไหปลาร้า ไม่ใช่พาดไว้ด้านหลังบนกล้าม trap แบบสควอททั่วไป

       ตำแหน่งนี้จะบังคับให้ลำตัวตั้งตรงเกือบสมบูรณ์แบบ เพราะถ้าคุณเอนไปด้านหน้าเพียงเล็กน้อย บาร์จะกลิ้งหล่นลงพื้นทันที ท่าทางที่ตั้งตรงนี้ รวมกับตำแหน่งของบาร์ที่อยู่เหนือกล้ามต้นขาโดยตรง ทำให้ฟรอนต์สควอทสามารถ “แยก” กล้ามต้นขาให้ทำงานได้ดีกว่าสควอทแบบปกติ

       แม้ว่ากล้ามก้นและกล้ามหลังต้นขาจะยังคงมีส่วนร่วมอยู่ แต่กล้ามต้นขาจะต้องแบกรับภาระส่วนใหญ่ในการทำงาน

       นักเพาะกายส่วนใหญ่มักใช้เวทน้อยกว่าสควอทปกติประมาณ 20–40% เมื่อลงฝึกในท่านี้

       คำแนะนำในการฝึก ( Performance pointers ): แม้ว่าท่าสควอทธรรมดาจะยากต่อการฝึกให้ชำนาญ แต่ฟรอนต์สควอทนั้น “ยิ่งท้าทายกว่ามาก” — เพราะคุณจะต้องใช้แขนกอดบาร์ไว้แน่น และกดให้มั่นคงตลอดการเคลื่อนไหว 

       มันยังเป็นท่าที่อึดอัดมาก เพราะบาร์จะกดลงบนกระดูกไหปลาร้าของคุณ หากจำเป็น ควรรองด้วยแผ่นรองบาร์หรือผ้าขนหนูเพื่อกันเจ็บ

       แม้ว่าจะเป็นท่าที่โหด แต่ฟรอนต์สควอทให้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลในด้านการพัฒนากล้ามต้นขา นักเพาะกายหลายคนที่มีต้นขาอันน่าทึ่งก็มักจะสลับกันฝึกระหว่างฟรอนต์สควอทกับสควอทธรรมดาเป็นประจำ


* * * แฮกสควอท ( HACK SQUATS )

       แฮกสควอทเป็นท่าลูกผสมระหว่างเลกเพรสและสควอท โดยเครื่องจะช่วยควบคุมแนวการเคลื่อนที่ให้เคลื่อนไปตามราง ในขณะเดียวกันก็มีแผ่นรองหลังช่วยพยุงคุณไว้

       แม้จะมีที่พิงหลัง แต่คุณยังคงต้องระวังไม่ให้หลังช่วงล่างงอ เพราะมีนักเพาะกายหลายพันคนที่พบว่าเครื่องแฮกสควอทนั้น “มีประโยชน์อย่างมาก” ในการสร้างกล้ามต้นขา โดยเฉพาะส่วนด้านนอกที่ช่วยเพิ่มความ “ปัดออกด้านข้าง” (outer sweep)

       แต่ก็ต้องกล่าวไว้ด้วยว่า บางคนจะมีอาการปวดเข่าเมื่อลงฝึกกับน้ำหนักที่หนักในท่านี้ — อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่สามารถฝึกแฮกสควอทด้วยน้ำหนักมากถึง 408.23 กก. ( 900 ปอนด์ ) ได้เป็นประจำ โดยทำ 10–12 ครั้ง โดยไม่มีปัญหาเข่าใด ๆ เลย

       คำแนะนำในการฝึก ( Performance pointers ): เหมือนกับเลกเพรส — คุณสามารถปรับตำแหน่งการวางเท้าเพื่อเน้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด และควรฝึกด้วย ช่วงการเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ ( full range of motion ) เสมอ 


       ป้องกันปัญหาหัวเข่า : ปัญหาเข่าจำนวนมากสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่าย ๆ เพียงแค่คุณ อย่ากระเด้งตัวขึ้น หรือใช้แรง “ดีดตัว” จากจุดต่ำสุดของการฝึก ( deep rep ) 



* * * เลกเอ็กซ์เทนชัน ( LEG EXTENSIONS )

       ท่า เลกเอ็กซ์เทนชัน เป็นท่าเดียวที่สามารถ “แยกฝึก” กล้ามเนื้อต้นขา (quadriceps) ได้โดยไม่ให้กล้ามเนื้อกลุ่มอื่นมีส่วนร่วมเลย

       นักเพาะกายส่วนใหญ่มักใช้ท่านี้เป็นการวอร์มอัปสำหรับท่าที่ใช้แรงกดหนัก ๆ เช่นสควอทหรือเลกเพรส — แม้ท่านี้จะมี “ประโยชน์ในการสร้างมวลกล้ามเนื้อ” อยู่บ้างก็ตาม แต่บทบาทหลักมักเป็นท่าเสริม หรือใช้เพื่อเพิ่ม “ความแยกชัด” ระหว่างมัดกล้ามเนื้อควอด

       แน่นอนว่า เพื่อให้กล้ามแยกชัด คุณก็ต้องมีกล้ามขาที่ “ใหญ่พอ” ก่อน!

       ผมเคยเชื่อว่าควรฝึกท่านี้ด้วยน้ำหนักหนัก ๆ และใส่ไว้ช่วงต้นของโปรแกรม แต่หลังจากเจออาการปวดเข่าอย่างรุนแรง ผมเปลี่ยนความคิด — ตอนนี้ผมเชื่อว่าเลกเอ็กซ์เทนชันควรฝึก “เบา” และ “เน้นจำนวนครั้งมาก” โดยเฉพาะในช่วงท้ายของการฝึกขา เมื่อกล้ามต้นขาโดนท่าหลัก (compound movements) มาก่อนแล้ว

       คำแนะนำในการฝึก (Performance pointers): เริ่มท่านี้โดยให้หน้าแข้งตั้งฉากกับพื้น หรือเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย — อย่าดึงขากลับไปด้านหลังมากเกินไป จนเท้าเลยหัวเข่า เพราะท่านี้จะทำให้เกิดแรงยืดมากเกินไป และเสี่ยงเจ็บเข่า

       เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากท่านี้: 

* * * ทำช้า ๆ 

* * * หยุดค้างไว้ด้านบนสุด 1 วินาทีแล้วบีบกล้ามต้นขาให้แน่นที่สุด

* * * ระหว่างเซต ให้ยืดเหยียดต้นขาเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด และช่วย “คลาย” พังผืด ( fascia ) ที่ล้อมรอบกล้ามเนื้อควอด ซึ่งแข็งราวกับลวดเหล็กในยางรถ 







* * * ลันจ์ ( LUNGES )

       ท่า ลันจ์ ไม่ว่าจะถือดัมเบล หรือวางบาร์เบลบนหลัง เดิมทีถูกมองว่าเป็นท่าสำหรับผู้หญิงเพื่อเน้นสะโพกและต้นขา

       แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อวิดีโอของ รอนนี่ โคลแมน ( Ronnie Coleman ) ที่ชื่อ “The Unbelievable” ออกมา — ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขากำลังฝึก บาร์เบลลันจ์ อยู่ที่ลานจอดรถหน้ายิม

       จากจุดนั้น นักเพาะกายทั่วโลกเริ่มเอาท่านี้กลับมาใส่ในโปรแกรมฝึกของตน และพบว่ามันได้ผลยอดเยี่ยมกับต้นขา แถมยังได้ผลพลอยได้กับกล้ามก้นและแฮมสตริงด้วย

       ลันจ์สามารถทำแบบ “ย่ำอยู่กับที่” หรือ “เดินไปข้างหน้า” ก็ได้ โดยอาจนึกถึงท่านี้ว่าเป็น “สควอทแบบเคลื่อนที่”

       คำแนะนำในการฝึก ( Performance pointers ): ก้าวแต่ละก้าวให้ ยาวและลึก จนหัวเข่าของขาด้านหลังเกือบจะแตะพื้น 

       หากคุณเลือกทำแบบเดินแทนการอยู่กับที่: ให้เดินโดยวางเท้าข้างหนึ่งต่ออีกข้างอย่างต่อเนื่อง

       ห้ามหยุดพักหลังจากแต่ละก้าว เพื่อคงความต่อเนื่องของการทำงานของกล้ามเนื้อ

       ผมได้เทคนิคนี้มาจากรอนนี่โดยตรง ตอนที่กำลังพยายามฝึกเซตลันจ์อยู่ที่ลานจอดรถของ Metroflex Gym ใน Arlington, Texas โดยมีน้ำหนัก 61.23 กก. ( 135 ปอนด์ ) อยู่บนหลัง 






* * * ซิสซี่สควอท ( SISSY SQUATS ) 

       สุดท้ายนี้คือท่าจบการฝึกที่ยอดเยี่ยมสำหรับกล้ามต้นขา นั่นคือ ซิสซี่สควอท ( Sissy Squats ) ซึ่งแม้จะชื่อฟังดูอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วเป็นท่าที่โหดมาก

       ท่านี้เป็นการสควอทโดยใช้น้ำหนักตัว แต่มีการเอนลำตัวไปด้านหลัง ซึ่งจะทำให้เกิดแรงยืดอย่างมากที่กล้ามเนื้อต้นขาในช่วงล่างสุดของการฝึกแต่ละครั้ง

       คำแนะนำในการฝึก ( Performance pointers ): ถ้าคุณโชคดี ฟิตเนสของคุณอาจมีอุปกรณ์เฉพาะสำหรับฝึกซิสซี่สควอท — เป็นแท่นเล็ก ๆ พร้อมแผ่นรองให้คุณยึดเท้าไว้

       แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร — แค่หาอะไรที่แข็งแรงให้จับพยุงไว้ขณะคุณลดตัวลง

       ควรชิดเท้าเข้าหากัน เพื่อให้กล้ามต้นขาได้รับแรงตึงมากที่สุด 






หมายเหตุเกี่ยวกับการพันเข่า ( A NOTE ON KNEE WRAPS ) 

       การใช้ผ้าพันเข่าในการฝึก ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ — ส่วนตัวผม ไม่ แนะนำให้นักเพาะกายใช้

       แม้มันจะช่วยให้คุณรับน้ำหนักได้มากขึ้น แต่ผมมองว่ามันเป็นการเพิ่มศักยภาพอย่าง “ไม่เป็นธรรมชาติ” คล้ายกับเสื้อยืดหนาแน่นของนัก Powerlifting ที่ช่วยให้ยกน้ำหนักเพิ่มได้อีก 22.68–45.36 กก. ( 50–100 ปอนด์ )

       ในความเห็นของผม ผ้าพันเข่าทำให้นักเพาะกายรู้สึกปลอดภัยแบบผิด ๆ และไปใช้เวทมากกว่าที่ร่างกายจะรับไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังส่วนล่าง ( lower back ) 

       เมื่อพันแน่น ๆ มันยังบีบอัดลูกสะบ้า ( patella ) และอาจนำไปสู่อาการบาดเจ็บได้ด้วย 


สรุปคือ: อย่าใช้ครับ 
 





การฝึกแบบเฉพาะเจาะจง ( Specialization ) เพื่อเร่งผลลัพธ์ของต้นขา 

       อย่างที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ — ปกติคุณควรฝึกต้นขาแค่ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เท่านั้น 

       แต่หากคุณต้องการเร่งผลลัพธ์ คุณสามารถฝึก สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ได้ในช่วงพิเศษแบบ เฉพาะกิจ ( specialization ) 

       อย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 8 สัปดาห์ คือขีดจำกัดที่พอเหมาะ ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะฝึกหนักเกินไป 

       และแม้จะฝึก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ คุณก็ยังไม่สามารถ “ทำลายกล้ามขา” ทั้งสองวันได้เต็มที่ 

ตัวอย่างตาราง:

* * * วันจันทร์: ฝึกต้นขาด้วยเวทหนักและจำนวนครั้งน้อย 

* * * วันพฤหัสบดี: ฝึกต้นขาด้วยจำนวนครั้งสูง และวอลุ่มมาก 

       ในวันจันทร์: ห้ามใช้ forced reps ( ฝืนช่วยยกโดยมี spotter ) และห้ามใช้ drop sets ด้วย เหตุผลคือ เพื่อให้ต้นขาของคุณสามารถฟื้นตัวเต็มที่ภายในวันพฤหัสบดี 

       ในวันพฤหัส: จะฝึกด้วยจำนวนครั้งสูงขึ้น และมีวอลุ่มมากขึ้น และจะมีเวลาฟื้นตัวเต็มที่ 96 ชั่วโมง ก่อนไปถึงการฝึกครั้งถัดไปในวันจันทร์ ( คุณอาจจะยังปวดอยู่เลยด้วยซ้ำตอนถึงวันนั้น ) 

       ตามที่ผมเคยบอกไว้ในซีรีส์ “Ultimate Muscle” — หากคุณจะเข้าสู่ช่วงฝึกแบบเฉพาะเจาะจงนี้ คุณจะต้อง ลดปริมาณการฝึกกล้ามเนื้อกลุ่มอื่นลง 30–50% เพื่อให้คุณสามารถแบ่งพลังงาน ( ทั้งฝึกและพักฟื้น ) มาโฟกัสที่ต้นขาได้เต็มที่ 

       คุณจะสังเกตว่าปริมาณโดยรวมของการฝึกแต่ละครั้งนั้น ยังไม่ถึงกับสูงสุด เท่าที่ควรจะเป็นสำหรับการฝึกต้นขา

       แต่นั่นเป็นความตั้งใจ — เพราะคุณจะฝึกต้นขาถึง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ 



ต่อไปนี้คือตารางฝึกแบบแบ่งส่วนร่างกาย ( Body Part Split ) ที่คุณจะใช้ ร่วมกับโปรแกรมการฝึก

       ก่อนเริ่มทุกครั้ง ควรวอร์มอัปด้วยการปั่นจักรยานอยู่กับที่หรือเดินบนลู่วิ่งอย่างน้อยไม่กี่นาที และควรทำท่าฝึก compound 2 เซตแบบจำนวนครั้งสูงก่อนเข้าสู่ชุดฝึกหลัก ( work sets ) เว้นแต่เซตฝึกหลักนั้นจะเป็นเซตแบบ 20 Reps ขึ้นไปอยู่แล้ว 

      

ตารางฝึก: ฝึกต้นขาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง 

วันจันทร์: ต้นขา ( ควอด )

วันอังคาร: อก และหลัง

วันพฤหัสบดี: ต้นขา ( ควอด )

วันศุกร์: หัวไหล่ และแขน

วันเสาร์: กล้ามหลังต้นขา (แฮมสตริง) และน่อง


  

โปรแกรม A:  สัปดาห์ที่ 1 และ 2 

วันจันทร์

Squats: 4 เซต x 5–10 ครั้ง

Leg Press: 3 เซต x 10–12 ครั้ง

Leg Extensions: 3 เซต x 10–12 ครั้ง


วันพฤหัสบดี

Leg Press: 4 เซต x 15–20 ครั้ง

Hack Squats: 4 เซต x 12–15 ครั้ง

Lunges: 3 เซต x 12–15 ครั้ง ต่อข้าง



  

โปรแกรม B : สัปดาห์ที่ 3 และ 4 

วันจันทร์

Squats: 5 เซต x 6–8 ครั้ง

Hack Squats: 4 เซต x 8–12 ครั้ง


วันพฤหัสบดี 

Leg Press: 4 เซต x 20–40 ครั้ง

Leg Extensions: 4 เซต x 15–25 ครั้ง

Sissy Squats: 3 เซต x 15–25 ครั้ง



  

โปรแกรม C : สัปดาห์ที่ 5 และ 6 

วันจันทร์

Front Squats: 5 เซต x 8–10 ครั้ง

Leg Press: 5 เซต x 8–10 ครั้ง


วันพฤหัสบดี

Leg Extensions: 5 เซต x 20–25 ครั้ง

Hack Squats: 5 เซต x 15–20 ครั้ง

Lunges: 4 เซต x 15–20 ครั้ง ต่อข้าง



  

โปรแกรม D : สัปดาห์ที่ 7 และ 8

วันจันทร์

Squats: 5 เซต x 5–8 ครั้ง

Leg Press: 5 เซต x 6–8 ครั้ง

Leg Extensions: 4 เซต x 10 ครั้ง 


วันพฤหัสบดี

Leg Press: 3 เซต x 50 ครั้ง

Leg Extensions: 3 เซต x 50 ครั้ง

Sissy Squats: 3 เซต x 50 ครั้ง


       คุณอาจต้องหยุดพักชั่วคราวระหว่างเซตเป็นช่วง ๆ เพื่อทำให้ครบ 50 ครั้ง — นี่เป็นเซตฟรี ไม่ใช่ฝึกแบบดรอปเซต (drop set)


       จงทำโปรแกรมนี้อย่างเคร่งครัดตลอด 8 สัปดาห์:

* * * นอนหลับให้เพียงพอ 

* * * รับประทานโปรตีนคุณภาพสูง 

* * * ทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและไขมันที่จำเป็น 

       แล้วคุณจะเห็นต้นขาของคุณขยายใหญ่และหนาขึ้นในช่วง 8 สัปดาห์ต่อจากนี้ 






- จบ -

ทอม พรินซ์ ( Tom Prince )

 




ทอม พรินซ์ 

Tom Prince


ข้างล่างนี้ )




       ทอม พรินซ์ ( Tom Prince ) เป็นนักเพาะกายอาชีพชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ( 1968 )

       เขาได้รับบัตรมืออาชีพของ IFBB โดยการชนะการแข่งขัน NPC National Championships ในปี พ.ศ. 2540 ( 1997 ) ซึ่งเป็นตำแหน่งรวมเพียงหนึ่งเดียวของเขา และยังคงแข่งขันต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี ก่อนจะยุติอาชีพในปี พ.ศ. 2545 ( 2002 ) โดยผลงานที่ดีที่สุดของเขาในระดับมืออาชีพคือการคว้าอันดับที่ 3 ในการแข่งขัน Night of Champions ปี พ.ศ. 2544 ( 2001 )​ 


สถิติส่วนตัว:

ส่วนสูง: 172 ซม. ( 5 ฟุต 8 นิ้ว )​

น้ำหนักขณะแข่งขัน: 104.00 กก. ( 230 ปอนด์ )​

น้ำหนักช่วงนอกฤดูกาล: 136–144 กก. ( 300–317 ปอนด์ )​


ประวัติการแข่งขันที่สำคัญ:

1995 NPC Nationals – รุ่นเฮฟวี่เวท – อันดับ 2​

1996 NPC Nationals – รุ่นเฮฟวี่เวท – อันดับ 2​

1996 NPC USA Championships – รุ่นเฮฟวี่เวท – อันดับ 2​ 

1997 NPC Nationals – รุ่นเฮฟวี่เวทและตำแหน่งรวม – อันดับ 1​

1999 IFBB Night of Champions – อันดับ 13​

2000 IFBB Ironman Pro Invitational – อันดับ 9​ 

2001 IFBB Grand Prix England – อันดับ 8​ 

2001 IFBB Night of Champions – อันดับ 3​ 

2001 Mr. Olympia – อันดับ 16​ 

2002 IFBB Night of Champions – อันดับ 7​ 

2002 IFBB Southwest Pro Cup – อันดับ 9​ 


       พรินซ์ประสบปัญหาเกี่ยวกับไตจากโรคโกลเมอรูโลสเคลอโรซิสแบบโฟกัส ( Focal Segmental Glomerulosclerosis ) ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคอ้วน การใช้ยาหรือปัจจัยร่วมกัน ทำให้เขาต้องยุติอาชีพการเพาะกายก่อนเวลาอันควร เขาได้รับการปลูกถ่ายไตในปี พ.ศ. 2555 ( 2012 ) แต่ล้มเหลวในอีกสองปีต่อมา ทำให้ต้องฟอกไตสัปดาห์ละสามครั้ง ครั้งละสี่ชั่วโมง 

       หลังจากยุติอาชีพการเพาะกาย พรินซ์และภรรยาได้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จ เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ( 2022 ) ด้วยภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง​ 



ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Tom_Prince_(bodybuilder)  






- จบ -





Friday, March 28, 2025

ทิป 8 ข้อสำหรับการทำให้กล้ามชัด

 




ทิป 8 ข้อสำหรับการทำให้กล้ามชัด


ข้างล่างนี้ )





8 เคล็ดลับเด็ดสุดของคุณ สำหรับการรีดไขมันให้ลีนสุดขีด 

หุ่นแห้งฟิต & พร้อมโชว์กล้าม




       แสงแดดเจิดจ้า อุณหภูมิสูงขึ้น และถึงเวลาที่จะอวดรูปร่างที่คุณฝึกฝนมาอย่างหนักในเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น และกางเกงว่ายน้ำแล้ว! ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคุณต้องลีนให้สุดและดูโหดสุด ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อของคุณโดดเด่นแบบชัดเจน เห็นเส้นเลือดที่พาดผ่านทั่วร่างอย่างชัดเจน คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณควรควบคุมอาหารและออกคาร์ดิโอเพื่อให้ได้ลุคที่ยอดเยี่ยมแบบนั้น แต่ผมอยากจะแชร์เคล็ดลับลดไขมันบางอย่างที่ผมพบว่าหลายคนอาจยังไม่รู้มาก่อน ไม่ว่าคุณจะเลือกทำข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้งหมด ก็สามารถช่วยให้คุณเข้าสู่เส้นทางสู่ความลีนและพร้อมโชว์หุ่นรับหน้าร้อนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นมาอ่านกันเลย! 


1. ติดตามแคลอรี่ของคุณ 

       ความจริงแล้ว การลดไขมันไม่ได้ลึกลับหรือซับซ้อนอย่างที่หลายคนซึ่งมีผลประโยชน์แอบแฝงอยากให้คุณเชื่อ จากการศึกษาวิจัยจำนวนมากพบว่า ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไดเอทแบบใด ถ้ามีการสร้างภาวะขาดพลังงาน ( caloric deficit ) หรือกินแคลอรี่น้อยกว่าที่ร่างกายใช้ไป ก็จะนำไปสู่การลดน้ำหนักได้ทั้งสิ้น ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับหลักการง่าย ๆ ระหว่างพลังงานที่รับเข้ามา ( calories in ) กับพลังงานที่ใช้ไป ( calories out )

       สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่รู้ว่าคุณบริโภคพลังงานไปเท่าไหร่ แล้วปรับให้เหมาะสมจนกว่าจะเห็นน้ำหนักตัวและระดับไขมันในร่างกายลดลงอย่างต่อเนื่อง คุณไม่สามารถแค่กินอาหารสะอาด ( clean eating ) แล้วหวังว่าจะผอมลงได้ แม้มันจะดีกว่าการกินอาหารขยะก็ตาม ความจริงก็คือ ถ้าคุณกินมากกว่าที่ร่างกายต้องการ แม้จะเป็นอาหารที่ดีอย่างอกไก่ ผัก และอื่น ๆ คุณก็จะไม่ลดไขมันได้
      
       ในสมัยก่อน คุณต้องจดทุกอย่างที่กิน แล้วคำนวณแคลอรี่เองแบบแมนนวล แต่ตอนนี้ ด้วยสมาร์ทโฟนของคุณ ( ที่แทบไม่เคยอยู่ห่างตัวเกิน 1 เมตร ) คุณสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันนับแคลอรี่ เช่น MyFitnessPal หรือ MyPlate Calorie Counter ที่ช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายและสะดวกมาก ๆ แน่นอนว่าคุณยังคงต้องชั่งน้ำหนักอาหาร และวัดปริมาณอาหารที่กิน แต่มันก็คุ้มค่านะ ถ้าคุณอยากมีรูปร่างที่สลักมาสวยงามราวกับเพชรเม็ดงาม

       การติดตามแคลอรี่คือวิธีเดียวที่น่าเชื่อถือที่สุดในการรู้ว่าคุณกินอะไรเข้าไปบ้าง และนั่นจะทำให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เข้าสู่ภาวะลีนและกล้ามชัดตามที่ต้องการ

      

2. เดินเร็ว

       คุณมีสุนัข หรือเคยเลี้ยงสุนัขกี่ตัว? แล้วคุณพามันเดินบ่อยแค่ไหน? ผมไม่ได้จะทำให้ใครรู้สึกผิดนะครับ แต่ก็เหมือนกับมนุษย์นั่นแหละ—สุนัขเองก็ต้องการการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงทั้งกายและใจ

       แล้วทำไมถึงพูดเรื่องสัตว์เลี้ยงอยู่ล่ะ? ใจเย็น ๆ ฟังก่อนครับ นักเพาะกายหลายคนมองคาร์ดิโอเหมือนกับการไปหาหมอฟัน คือต้องทำแต่ไม่อยากทำ และเก่งมากในการหาข้ออ้างหรือเลี่ยงไม่ทำ ผมเข้าใจดีครับ คาร์ดิโอบนเครื่องในยิมมันน่าเบื่อจริง ๆ

       ผมมีหมาพันธุ์ผสมพิทบูล/แลบบราดอร์อยู่ตัวหนึ่ง เราตั้งชื่อมันว่าแบรนช์ ผมจะพามันเดินประมาณ 30-40 นาที ทั้งเช้าและเย็น ตั้งแต่ได้มันมาเมื่อไม่กี่ปีก่อน เพราะแบบนี้ ผมก็แทบไม่ต้องทำคาร์ดิโอในยิมอีกเลย

       แน่นอนว่า...ถ้าคุณเดินเอื่อย ๆ เหมือนเต่าคลาน มันก็จะไม่เผาผลาญแคลอรี่ได้เท่ากับการเดินเร็ว ดังนั้น ผมอยากให้คุณทุกคนลองออกไปเดินเร็ว หรือเดินให้ได้เหงื่อ ไม่ว่าคุณจะมีหมาหรือไม่ก็ตาม บางทีคุณอาจจะมีเส้นทางเดินแถวบ้าน เช่น ที่ทำการไปรษณีย์หรือธนาคารที่สามารถใช้เป็นเส้นทางเดินออกกำลังกาย หรืออาจมีสวนสาธารณะหรือพื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้งที่คุณสามารถไปใช้ได้เช่นกัน

       ถ้าคุณไม่ชอบคาร์ดิโอในยิมจริง ๆ ล่ะก็ ออกไปเดินสูดอากาศสดชื่นข้างนอก แล้วเผาผลาญแคลอรี่ให้ร่างกายกันเลยครับ 






 
       
การติดตามแคลอรี่ของคุณ คือวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการรู้ว่าคุณกินไปมากแค่ไหน และมันจะทำให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณรีดไขมันได้สำเร็จ 




3. เลิกกินข้าวนอกบ้าน

       การลดไขมันทั้งหมดนั้น สรุปได้ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ระหว่างพลังงานที่รับเข้า กับพลังงานที่ใช้ไป ถ้าคุณควบคุมการกินให้พลังงานที่รับเข้าน้อยกว่าพลังงานที่ใช้ไปอย่างสม่ำเสมอ ร่างกายของคุณก็จะลดไขมันลงได้

       หนึ่งในเรื่องที่หลายคนพลาดก็คือ การกินเกินระดับที่ร่างกายต้องการ และเรื่องนี้มักเกิดขึ้นเวลาไปกินตามร้านอาหาร เพราะปัจจุบันหลายคนไม่ค่อยทำอาหารกินเองกันแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่โสด หรือผู้ชายที่โสด ซึ่งมีแนวโน้มจะกินอาหารนอกบ้านวันละหนึ่งถึงสองมื้อเป็นประจำ

       ในอเมริกาเองก็ขึ้นชื่อเรื่องการเสิร์ฟอาหารจานใหญ่ในร้านอาหาร นักท่องเที่ยวจากยุโรปมักจะตกใจและแปลกใจกับปริมาณอาหารที่อยู่ในจานพวกนั้น และคุณเองก็มีแนวโน้มที่จะกินมากเกินไปในสถานการณ์แบบนี้มากกว่าตอนที่คุณอยู่บ้าน ซึ่งคุณสามารถควบคุมอาหารเองได้ ทั้งการปรุงเองและแบ่งปริมาณไว้ล่วงหน้า

       ลองคิดดูว่าคุณเคยไปกินข้าวนอกบ้านแล้วตั้งใจว่าจะเก็บไว้กินต่อ แต่สุดท้ายก็เผลอกินไปเกือบหมดจนไม่เหลือเลยหรือเปล่า? ถ้าคุณอยู่ในช่วงเพิ่มกล้าม ( bulking ) ก็อาจจะไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณกำลังจะไดเอทขั้นสุด ( cut แบบโหด ) บอกเลยว่านั่นคือหายนะชัด ๆ! 






4. กินคาร์โบไฮเดรตแค่ 2 มื้อต่อวันก็พอ 

       คุณอาจจะฝังหัวไว้แล้วว่า ทุกมื้ออาหารควรมีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว มันฝรั่ง มันหวาน หรือข้าวโอ๊ต แนวคิดนี้ดีมากถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงเพิ่มกล้าม ( bulking ) แต่ถ้าคุณมีเป้าหมายที่จะลีนให้สุด บอกเลยว่าการทำแบบนั้นจะทำให้คุณควบคุมพลังงานให้อยู่ในภาวะขาดแคลอรี่ได้ยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

       ร่างกายคุณต้องการคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้พลังงานกับกล้ามเนื้อเวลาฝึกเวท และต้องใช้คาร์โบไฮเดรตหลังฝึกเพื่อฟื้นฟูไกลโคเจนที่หมดไปในกล้ามเนื้อ แค่นั้นพอ! คุณไม่จำเป็นต้องกินคาร์บตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะถ้าวันนั้นเป็นวันพักฝึก ซึ่งคุณไม่ได้ต้องการพลังงานมากขนาดนั้น

       ในวันที่ไม่ได้ฝึก คุณควรกินคาร์บแค่ในมื้อเช้าเท่านั้น ส่วนมื้ออื่น ๆ ให้เน้นโปรตีนร่วมกับผักที่มีกากใยสูง เช่น ถั่วแขก หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ หรือแครอท ถ้ามื้ออาหารของคุณยังอยู่ในระดับพลังงานที่ไม่เกินความต้องการของร่างกาย คุณสามารถเพิ่มไขมันดีได้ เช่น อัลมอนด์ วอลนัต หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์

       สำหรับตัวผมเอง ผมจะกินไขมันพวกนี้เฉพาะเมื่อกินร่วมกับแหล่งโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ปลาเนื้อขาว หรืออกไก่ ตอนที่ผมไดเอท ถ้าแหล่งโปรตีนของผมเป็นเนื้อแดง ไข่ทั้งฟอง หรือปลาแซลมอน ซึ่งมีไขมันอยู่แล้ว ผมก็จะกินแค่ผักร่วมด้วยโดยไม่เพิ่มไขมันอะไรอีก   






5. งดแอลกอฮอล์สักพัก 

       ถ้าคุณต้องการลดไขมันในร่างกายในปริมาณมาก และอยากอวดกล้ามชัดเจนแบบคริสตัลใส แอลกอฮอล์ไม่ใช่เพื่อนของคุณเลย มีเหตุผลว่าทำไมคำว่า “พุงเบียร์” ถึงมีอยู่จริง

       แอลกอฮอล์สามารถทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ถึง 4 ทาง คือ

* * * มันหยุดร่างกายคุณไม่ให้เผาผลาญไขมัน

* * * มันมีแคลอรี่สูง

* * * มันทำให้คุณรู้สึกหิว

* * * มันกระตุ้นให้คุณอยากกินอาหารเค็มหรือมัน ๆ 


       คิดดูสิว่าคุณเคยเลือกกินอะไรแย่ ๆ ตอนตี 1 บ้างหรือเปล่า ตอนที่คุณเมาแล้วตัดสินใจสั่งพิซซ่า เบอร์เกอร์ดับเบิลชีส หรือเฟรนช์ฟรายส์ชีส! 

       ทีนี้มาดูเรื่องแคลอรี่กันบ้าง:

* * * เบียร์ขนาด 12 ออนซ์ทั่วไป มีประมาณ 150 แคลอรี่

* * * คราฟต์เบียร์บางชนิดอาจสูงถึง 350 แคลอรี่ 

* * * เหล้ารัมหรือวอดก้า 1 ช็อต ประมาณ 115 แคลอรี่ 

* * * ไวน์ประมาณ 130 แคลอรี่


       แต่ถ้าเป็นเครื่องดื่มผสม ( cocktails ) นี่แหละตัวอันตรายจริง ๆ

       แม่ของผมเคยชอบดื่ม “White Russians” ซึ่งหนึ่งแก้วมีถึง 568 แคลอรี่ 

       ส่วนถ้าคุณชอบ “Piña Coladas” ริมสระว่ายน้ำละก็ ขอให้รู้ไว้เลยว่าแต่ละแก้วมีถึง 526 แคลอรี่ 

       มันควรจะชัดเจนอยู่แล้วว่า แม้จะดื่มแค่ไม่กี่แก้วในช่วงสุดสัปดาห์ ก็สามารถทำลายภาวะขาดพลังงานของคุณได้เลย 






6. เก็บสิ่งที่อยากดูหรืออยากทำ ไว้ทำตอนคาร์ดิโอบนมือถือ 

       สำหรับใครที่ไม่สนใจคำแนะนำเรื่องการเดินออกกำลังกายนอกบ้านก่อนหน้านี้ คุณอาจยังต้องการแรงจูงใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อยในการทำคาร์ดิโอในยิม แน่นอนว่าคุณสามารถเปิดเพลงฟังได้เสมอ แต่ถ้าคุณตั้งกฎกับตัวเองว่า “จะฟังพอดแคสต์รายการโปรด” หรือ “จะดูคลิป YouTuber ที่ชอบ” ได้เฉพาะตอนทำคาร์ดิโอเท่านั้น คุณจะมีโอกาสไม่เบี้ยวเซสชันคาร์ดิโอบนลู่วิ่ง จักรยาน หรือเครื่องสเต็ปเปอร์มากขึ้นเยอะเลย

       ถ้าคุณมีอีเมลหรือข้อความที่ไม่เร่งด่วน และสามารถรอเวลาตอบได้ การทำคาร์ดิโอก็เป็นเวลาที่เหมาะมากสำหรับจัดการสิ่งเหล่านั้น ผมขอยอมรับเลยว่าทริคข้อนี้ผมได้มาจาก คริส บัมสเตด (Chris Bumstead) ต้องให้เครดิตเขาเลย เพราะนี่คือวิธีที่เขาใช้กระตุ้นตัวเองให้ลุกมาทำคาร์ดิโอแบบเร็ว (fasted cardio) ทันทีหลังตื่นนอน

       เราทุกคนล้วนหยิบมือถือมาเช็กทันทีตอนตื่นเช้าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าคุณทำแบบนั้นไม่ได้ เว้นแต่คุณจะทำคาร์ดิโอไปด้วย คุณก็คงลุกมาทำคาร์ดิโอนั่นแหละ จริงไหมล่ะ?
 





7. อย่ายอมแพ้ต่อความอยากอาหารยามดึก! 

       หลายคนในพวกเราเคร่งครัดกับการควบคุมอาหารได้ดีตลอดทั้งวัน แต่พอใกล้ถึงเวลานอน กลับแพ้ให้กับความอยากอาหาร แล้วทุกอย่างก็พังลงได้ง่าย ๆ

       มันอาจจะง่ายที่ผมจะบอกคุณแค่ว่า “อดทนไว้” แต่แบบนั้นก็ดูเหมือนไม่รับผิดชอบ เพราะในฐานะที่ผมเคยไดเอทจนกล้ามก้นลีนจัดมาแล้วประมาณ 6 ครั้ง ผมจึงต้องหาวิธีรับมือและหาทางออกให้ได้

       หนึ่งในวิธีที่ได้ผลสำหรับผมคือ หมากฝรั่งแบบไร้น้ำตาล ผมจะกินมื้อสุดท้ายของวันให้เรียบร้อย แล้วแน่นอนว่าหลังจากนั้นก็มักจะยังรู้สึกหิวอยู่ หรือมีความอยากกินคุกกี้สักชิ้น...หรือ 10 ชิ้น! เวลานั้น ผมจะเคี้ยวหมากฝรั่งไร้น้ำตาลสัก 2 แท่ง และเคี้ยวจนกว่ารสจะหมด ถ้ายังหิวอยู่ ผมก็ทำซ้ำแบบเดิม

       อีกวิธีหนึ่งที่ผมใช้ก็คือ ทำเกล็ดน้ำแข็งปรุงรสแบบไม่มีน้ำตาลไว้กินเอง ผมจะใช้น้ำผสมผงปรุงรสอย่าง Crystal Light หรือแบรนด์อื่นที่ไม่มีน้ำตาล ใส่ลงในภาชนะพลาสติก แล้วนำเข้าช่องแช่แข็งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนมื้อเย็น พอมันพร้อมกิน มันก็จะกลายเป็นของหวานกึ่งน้ำกึ่งน้ำแข็ง ซึ่งใช้เวลาดูดหรือกินนาน เพราะมีเกล็ดน้ำแข็งปนอยู่

       และพอผมกินหมด ผมก็มักจะไม่รู้สึกหิวอีกเลย ความอยากกินอาหารขยะก็หายไปด้วย 






 
       บางคนในพวกเราอาจไม่มีเวลา หรือไม่มีความอยากจะใช้เวลา 30–60 นาทีต่อวัน ในการทำคาร์ดิโอ ซึ่งไม่เป็นไรเลย!

       คุณสามารถออกแรงให้หนักขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นลง แล้วเผาผลาญแคลอรี่ได้เท่าเดิม





8. ลองทำ HIIT Cardio ( คาร์ดิโอแบบหนักสลับเบา )  

       ท้ายที่สุดแล้ว บางคนในพวกเราอาจไม่มีเวลา หรือไม่มีความอยากจะใช้เวลา 30–60 นาที ต่อวันในการทำคาร์ดิโอ แม้จะได้ชมวิวสวย ๆ หรือฟังพอดแคสต์สุดมันส์อย่างที่เราทำไว้ให้ที่นี่ใน MD ก็ตาม — ไม่เป็นไรเลย! 

       คุณสามารถออกแรงหนักขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นลง แล้วเผาผลาญแคลอรี่ได้พอ ๆ กัน 

สูตรมันง่ายมาก: วอร์มอัพร่างกายให้เพียงพอบนอุปกรณ์คาร์ดิโอที่คุณเลือก จากนั้นให้สลับช่วงของการวิ่งเร็ว ( sprint ) กับช่วงฟื้นตัว ( recovery ) 


       ตัวอย่าง: ถ้าคุณใช้ลู่วิ่ง หลังจากวอร์มอัพประมาณ 5–7 นาที ที่ความเร็ว 2.5–3 ไมล์ต่อชั่วโมง ( ประมาณ 4–4.8 กม./ชม. ) 

       ให้วิ่งเร็วแบบสปรินต์ 30–60 วินาที ที่ออความเร็ว 5–7 ไมล์ต่อชั่วโมง ( ประมาณ 8–11.2 กม./ชม. )  

       จากนั้นลดความเร็วลงเป็น 4 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 6.4 กม./ชม.) แล้วเดินหรือวิ่งช้าฟื้นตัวเป็นเวลา 60–90 วินาที ก่อนจะเริ่มสปรินต์อีกครั้ง

       เพียงแค่ 15–20 นาที กับการทำคาร์ดิโอแบบนี้ คุณสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้พอ ๆ กับการคาร์ดิโอแบบปานกลางที่ต้องใช้เวลาถึง 45–60 นาที

       แค่ต้องแน่ใจว่าคุณใช้เวลาในการวอร์มอัพและคลายกล้ามเนื้อให้เรียบร้อยก่อนและหลังฝึก อย่าหุนหันพลันแล่นรีบวิ่งเร็วทันที เพราะถ้าคุณบาดเจ็บขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณจะทำคาร์ดิโอไม่ได้เลย และโอกาสในการลีนก็จะหายไปด้วย! 

       โชคดีในการรีดไขมันนะครับ! 






- จบ -