Sunday, July 18, 2021

เกร็ดความรู้ อาทิตย์ที่ 9 A

 

  




 

สเตียรอยด์ - สารกระตุ้น


ข้างล่างนี้ )



ผู้ใช้สเตียรอยด์ที่เสียชีวิตมีขนาดหัวใจใหญ่กว่าปกติ

       ภาวะหัวใจโต ( Heart Enlargement ) เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยของการใช้สเตียรอยด์ชนิดแอนอะโบลิก ( Anabolic Steroids ) 
 
       งานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยอุปซอลา ( Uppsala University ) ประเทศสวีเดน ได้ทำการชันสูตรศพ 87 รายที่ตรวจพบว่ามีการใช้สเตียรอยด์ และ เปรียบเทียบกับศพของผู้เสียชีวิตอีก 173 รายที่มีอายุใกล้เคียงกัน แต่ไม่ได้ใช้สเตียรอยด์ 

* * * ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่เคยใช้สเตียรอยด์มีขนาดหัวใจที่ใหญ่ที่สุด 

* * * นอกจากนี้ ขนาดหัวใจที่ใหญ่ขึ้นยังมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักตัว ส่วนสูง และสาเหตุการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 
 


ความเชื่อมโยงระหว่างสเตียรอยด์กับภาวะหัวใจโต

       แล้วผลการศึกษานี้บ่งบอกอะไร? 

* * * สเตียรอยด์ช่วยให้ผู้ใช้สามารถยกน้ำหนักได้มากขึ้น 

* * * น้ำหนักที่มากขึ้นเพิ่มภาระต่อหัวใจ ทำให้เกิดการขยายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ 

* * * อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า หัวใจโตเกิดจากการใช้สเตียรอยด์โดยตรง หรือจากการฝึกยกน้ำหนักหนักเป็นประจำ 

* * * สามารถโต้แย้งได้ว่า หากไม่มีการใช้สเตียรอยด์ ผู้ใช้บางคนอาจไม่สามารถยกน้ำหนักที่หนักมากได้ตั้งแต่แรก


ที่มา: Cardiovascular Pathology, published online 
 


แอนอะโบลิกช่วยรักษาโรคที่ทำให้เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อลีบ

       ยาประเภทแอนอะโบลิก ( Anabolic Drugs ) เช่น เทสโทสเตอโรน ( Testosterone ), โกรทฮอร์โมน ( Growth Hormone ) และ IGF-1 มักเกี่ยวข้องกับ นักเพาะกาย, นักฟุตบอล, นักยกน้ำหนัก และนักแสดงฮอลลีวูด 

       อย่างไรก็ตาม แพทย์ยังใช้ยากลุ่มนี้ในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อลีบ ( Cachexia ) และโรคที่ทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เช่น 

* * * โรคเอดส์ ( AIDS ) 

* * * โรคมะเร็ง 

* * * โรคไตเรื้อรัง 


ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เอมอรี ( Emory University School of Medicine )

* * * ดร.นอร์ลีนา กัลเล็ตต์ ( Norleena Gullett ) และทีมวิจัยพบว่า ยาแอนอะโบลิกสามารถลดอัตราการเสียชีวิตและความพิการในผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อลีบ 

* * * ช่วยเพิ่มน้ำหนักตัว, มวลกล้ามเนื้อไร้ไขมัน ( Lean Body Mass ) , ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และคุณภาพชีวิตโดยรวม 


การใช้ยาแอนอะโบลิกอย่างปลอดภัย 

* * * ยากลุ่มนี้ปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม 

* * * เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อลีบ 

* * * อย่างไรก็ตาม การใช้แอนอะโบลิกในวงการกีฬาและนักเพาะกายทำให้เกิดกระแสด้านลบเกี่ยวกับสเตียรอยด์และโกรทฮอร์โมน ซึ่งทำให้แพทย์บางคนลังเลที่จะสั่งจ่ายยาเหล่านี้ให้กับผู้ป่วย 


ที่มา: American Journal Clinical Nutrition, 91(supplement): 1143S-1147S 



การใช้ยีนโด๊ปในวงการกีฬา 

       เทคโนโลยีด้านพันธุกรรม ( Gene Technology ) อาจถูกนำมาใช้เพื่อ ระบุศักยภาพทางกีฬาของนักกีฬา, สร้างยาที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกาย และเปลี่ยนแปลงการทำงานของยีน เพื่อเร่งการเติบโตของกล้ามเนื้อ, เพิ่มความแข็งแรง, ความทนทาน และลดไขมัน 


เทคนิคที่ใช้ใน Gene Doping

* * * เทคโนโลยีดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ (  Recombinant DNA Technology ) 

///// กระบวนการสร้างฮอร์โมนและสารเคมีในห้องทดลอง โดยใช้สิ่งมีชีวิตที่ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรม 

///// ตัวอย่างเช่น โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone), อินซูลิน (Insulin), IGF-1 และ EPO 


* * * ยาและฮอร์โมนที่มีผลต่อยีน (  Drugs that Influence Genes  )  

///// ยาและฮอร์โมนบางชนิดสามารถกระตุ้นยีนให้ผลิตเอนไซม์หรือโปรตีนที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกีฬา 



* * * การบำบัดด้วยยีน ( Gene Therapy ) 

///// กระบวนการถ่ายโอนเซลล์ที่ไม่ได้ถูกดัดแปลงทางพันธุกรรมไปยังเนื้อเยื่อผ่านไวรัสที่ไม่เป็นอันตราย เพื่อช่วยฟื้นฟูการทำงานของเนื้อเยื่อ 



* * * การถ่ายโอนยีนผ่านเซลล์สืบพันธุ์ ( Germ-Line Gene Transfe r) 

///// เป็นการถ่ายโอนยีนไปยังเซลล์ไข่หรืออสุจิ เพื่อเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมของรุ่นลูกหลาน 

///// ตัวอย่างเช่น การแทรกยีนที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและความเร็วในการวิ่งเข้าไปในเซลล์ไข่ อาจนำไปสู่การพัฒนานักกีฬาระดับโอลิมปิกหรือมิสเตอร์โอลิมเปียในอนาคต 



* * * การระบุยีนที่ให้ข้อได้เปรียบทางกายภาพ ( Gene Identification ) 

///// การตรวจหายีนที่ช่วยให้บางคนมีความได้เปรียบทางธรรมชาติในด้านมวลกล้ามเนื้อ ความแข็งแรง พลัง ความทนทาน และการลดไขมัน



ผลกระทบของการปรับแต่งพันธุกรรมในวงการกีฬาฮฮฮฮฮ

       
การดัดแปลงพันธุกรรมไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่กำลังกลายเป็นความจริง และอาจเปลี่ยนแปลงวงการกีฬาไปอย่างสิ้นเชิง 


ที่มา: CNN, published online  



ความเสี่ยงระยะยาวของการใช้โกรทฮอร์โมน 

       โกรทฮอร์โมน ( GH - Growth Hormone ) เป็นอาหารเสริมยอดนิยมในหมู่ผู้ใหญ่

* * * ใช้เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

* * * ลดไขมันในร่างกาย

* * * ปรับปรุงสภาพผิว 

* * * เพิ่มความแข็งแรงทางกายภาพ 

* * * และอาจช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น 


       อย่างไรก็ตาม แพทย์หลายคนกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของ GH ในระยะยาว


ผลกระทบของโกรทฮอร์โมนในเด็ก

       บทความโดย เดวิด อัลเลน ( David Allen ) ได้สรุปเกี่ยวกับความปลอดภัยของ GH ในเด็กที่มีภาวะขาด GH  

* * * GH ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในเด็ก แต่ก็อาจรบกวนศูนย์การเจริญเติบโตของกระดูกได้ 

* * * อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่มีผลต่อผู้ใหญ่ 


ผลกระทบของโกรทฮอร์โมนในผู้ใหญ่ 

* * * GH อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานประเภท 2 

///// อย่างไรก็ตาม ผลกระทบนี้พบได้น้อยในผู้ที่มีกิจกรรมทางกายสูง 


* * * GH อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเฉียบพลันในเด็ก แต่ไม่พบในผู้ใหญ่ 


* * * GH ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งในผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง 

///// แต่หากมีเซลล์มะเร็งอยู่แล้ว GH อาจทำให้มะเร็งเติบโตเร็วขึ้น  



สรุป

* * * GH มีประวัติด้านความปลอดภัยที่ดีในเด็ก 

* * * แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผลลัพธ์แบบเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นในผู้สูงวัยหรือไม่ 


ที่มา: Journal Clinical Endocrinology Metabolism, 95: 52-55 





 

โภชนาการ 
 

ข้างล่างนี้ )



midjourney.com

กาแฟช่วยปกป้องตับจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม 

       ( ภาพบน ) ตับเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ เผาผลาญพลังงานและปกป้องร่างกายจากสารพิษ 

       เมื่อได้รับบาดเจ็บจากสารเคมีหรือโรค ตับจะสร้างพังผืด ( Fibrous Tissue ) เพื่อเป็นกระบวนการฟื้นฟู 

* * * สเตียรอยด์แบบรับประทาน ( Oral Anabolic Steroids ) อาจเป็นพิษต่อตับ และทำให้เกิดภาวะพังผืดในนักกีฬาที่ใช้ยาเหล่านี้


ผลการศึกษาจากประเทศจีน 

* * * การทดลองในหนูพบว่า การดื่มกาแฟสามารถยับยั้งการพัฒนาของพังผืดในตับที่เกิดจากความเสียหายของตับที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นในการทดลอง

* * * นักวิจัยสรุปว่า กาแฟอาจช่วยปกป้องตับจากความเสียหายที่เกิดจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม 

       อย่างไรก็ตาม ผลของกาแฟต่อผู้ที่ใช้สเตียรอยด์ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด 


ที่มา: Clinical Nutrition, 29: 399-405



midjourney.com

การบริโภคไข่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพหลอดเลือด 

       ( ภาพบน ) นักโภชนาการมีความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับ การบริโภคไข่ มานานหลายปี

       ในช่วง ทศวรรษ 1970 มีรายงานว่า การบริโภคไข่อาจเชื่อมโยงกับระดับคอเลสเตอรอลที่สูงและความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ

       อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดพบว่า การรับประทานไข่วันละ 1-2 ฟอง ไม่มีผลกระทบต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดหรือความเสี่ยงของโรคหัวใจ 


ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล

       นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ( Yale University ) นำโดย วาเลนไทน์ ไนเจ ( Valentine Njike ) ได้ศึกษาผลของการบริโภคไข่ในกลุ่มคนที่มีระดับไขมันในเลือดสูง 

* * * กลุ่มทดลองที่รับประทานไข่วันละ 2 ฟอง นาน 6 สัปดาห์ ไม่พบผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพหลอดเลือด 

* * * ในทางกลับกัน กลุ่มที่รับประทานแซนด์วิชอาหารเช้าที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงทุกวัน พบว่าหลอดเลือดมีความเสื่อมลง 

* * * การใช้ไข่ขาวทดแทนคาร์โบไฮเดรตในมื้อเช้าช่วยปรับปรุงสุขภาพหลอดเลือดได้ 


ประโยชน์ของไข่ต่อสุขภาพ 

* * * ไข่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงและอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น 

* * * ไข่เป็นส่วนสำคัญของอาหารเพื่อสุขภาพ 

* * * เหมาะสำหรับนักเพาะกายและสามารถเตรียมล่วงหน้าเพื่อรับประทานได้ง่าย 


ที่มา: Nutrition Journal, 9:28 
      



midjourney.com 

CLA เชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ 

       กรดไลโนเลอิกคอนจูเกต ( Conjugated Linoleic Acid - CLA ) เป็นอาหารเสริมยอดนิยมสำหรับการลดไขมันในร่างกาย 

* * * แหล่งอาหารที่ให้ CLA มากที่สุดคือ นม ซึ่งมี ไขมันอิ่มตัวสูง 

* * * นมจากวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า ( Grass-Fed Cows ) มีปริมาณ CLA สูงกว่านมจากวัวที่เลี้ยงด้วยธัญพืช ( Grain-Fed Cows ) 
      

ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดฮ 

* * * นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับ CLA ในเซลล์ไขมันกับความเสี่ยงของโรคหัวใจในประชากรคอสตาริกา 

* * * คอสตาริกาเป็นประเทศที่วัวส่วนใหญ่เลี้ยงด้วยหญ้า ทำให้ประชากรได้รับ CLA จากนมในปริมาณสูง 

* * * ผลการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีระดับ CLA ในเซลล์ไขมันสูงที่สุด มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยที่สุด 

ฮฮแม้ว่านมจะมีไขมันอิ่มตัวสูง แต่ปริมาณ CLA ในนมช่วยลดผลกระทบเชิงลบจากไขมันอิ่มตัวได้


ที่มา: American Journal of Clinical Nutrition, 92: 34-40 



คาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มสมรรถนะทันทีที่สัมผัสปาก 

       คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานหลักของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะในระหว่างการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงกว่า 65% ของความสามารถสูงสุด 

* * * คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับการออกกำลังกาย 

* * * ให้พลังงานต่อปริมาณออกซิเจนที่ใช้มากกว่าไขมันหรือโปรตีน

* * * ร่างกายสามารถดูดซึมและใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตได้อย่างรวดเร็ว

* * * นักวิจัยพบว่า การบริโภคคาร์โบไฮเดรตสามารถเพิ่มสมรรถนะได้ทันทีที่เข้าสู่ปาก!
 

      
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ( University of Birmingham, UK )
      
       นักวิจัย แอชเชอร์ จูเกนดรัป ( Asker Jeukendrup ) และ เอ็ดเวิร์ด แชมเบอร์ส ( Edward Chambers ) ได้ทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับ ผลของคาร์โบไฮเดรตต่อระบบประสาท 

* * * พบว่าระบบประสาทสามารถรับรู้คาร์โบไฮเดรตทันทีที่สัมผัสปาก 

* * * สิ่งนี้ กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ( CNS ) ทำให้สมรรถนะในการออกกำลังกายดีขึ้น 

* * * ผลนี้ไม่ได้เกิดจากรสชาติ แต่เกิดจากการรับรู้ของระบบประสาท 


ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ( University of Auckland, นิวซีแลนด์ ) 

* * * พบว่าในกลุ่มผู้ที่เหนื่อยล้า ระดับการกระตุ้นของสมองเพิ่มขึ้น 30% ทันทีหลังจากได้รับคาร์โบไฮเดรตจริง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับคาร์โบไฮเดรตปลอม ( Fake Carbohydrate ) 

* * * คาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มสัญญาณจากสมองไปยังกล้ามเนื้อ 

* * * ในกลุ่มที่อดอาหาร ผลลัพธ์ของการกระตุ้นประสาทจากคาร์โบไฮเดรตชัดเจนมากขึ้น


แนวทางการใช้คาร์โบไฮเดรตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย 

* * * นักเพาะกายและนักกีฬาอาจได้รับประโยชน์จากการบริโภคคาร์โบไฮเดรตปริมาณเล็กน้อยก่อนออกกำลังกาย

* * * อีกวิธีคือการอมคาร์โบไฮเดรตในปากระหว่างออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นระบบประสาทและเพิ่มความเข้มข้นของการฝึก โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณแคลอรีที่บริโภค

* * * อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเทคนิคนี้สามารถใช้ซ้ำ ๆ ได้หรือไม่ระหว่างการออกกำลังกาย



ที่มา: 1. Current Opinion in Clinical Nutrition and Metabolic Care, 13: 44-45 

2. Brain Research, published online





 

สุขภาพ


ข้างล่างนี้ )



lazada.co.th

ปรอทสูงในปลาอาจเพิ่มความดันโลหิต

       ( ภาพบน ) นักเพาะกายมักรับประทานปลาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนไม่ติดมันที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหาร ซึ่งช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการออกกำลังกาย

       องค์กรด้านสุขภาพแนะนำให้ทุกคน เพิ่มการบริโภคปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง เนื่องจากช่วย ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ปรับปรุงสุขภาพของหลอดเลือด และ ลดการอักเสบทั่วร่างกาย

       อย่างไรก็ตาม ปลาขนาดใหญ่ เช่น ทูน่า ฉลาม ดาบเงิน และคิงแมคเคอเรล มักมีระดับปรอทสูงกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ ปัญหาสุขภาพร้ายแรงและความเสี่ยงต่อความพิการแต่กำเนิด 


ความเชื่อมโยงระหว่างปรอทกับความดันโลหิต

       การศึกษาจาก มหาวิทยาลัยควิเบก ( University of Quebec ) ที่ทำการวิจัยกับ ชาวนูนาวิก อินูอิต ( Nunavik Inuits ) ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแคนาดา พบว่า 

* * * ระดับปรอทในร่างกายที่เพิ่มขึ้น มีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตซิสโตลิก ( Systolic Blood Pressure ) ที่สูงขึ้น 

* * * ปลาคือแหล่งอาหารหลักของชาวอินูอิตในนูนาวิก ซึ่งทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อการได้รับสารปรอทในปริมาณสูง 


แนวทางป้องกันความเสี่ยงจากปรอทในปลา

* * * ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงปลาที่มีปรอทสูง 

* * * ควรเลือกรับประทานปลาที่มีปริมาณปรอทต่ำ เช่น ปลาแซลมอน หรือปลาที่จับจากแหล่งน้ำสะอาด 

* * * การรับประทานอาหารเสริมโอเมก้า-3 ( วันละ 300 มก. DHA ) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ โดยไม่ต้องเสี่ยงจากการบริโภคปลาที่มีปรอทสูง


ที่มา: Hypertension, 54: 981-986 



อาหารเสริมเทสโทสเตอโรนอาจช่วยปรับปรุงสุขภาพต่อมลูกหมาก 

       แพทย์บางคนหลีกเลี่ยงการจ่าย อาหารเสริมเทสโทสเตอโรน ( Testosterone Supplements ) ให้กับผู้ชายสูงวัย เนื่องจาก กังวลว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็น สาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับสองในผู้ชายอเมริกัน 


ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

       การศึกษาจาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) นำโดย ดร.อับราฮัม มอร์เกนทาเลอร์ (Dr. Abraham Morgentaler) พบว่า

* * * ระดับเทสโทสเตอโรนต่ำมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งต่อมลูกหมาก 

* * * ดร.มอร์เกนทาเลอร์ระบุว่า "ไม่มีงานวิจัยใดที่แสดงให้เห็นว่าระดับเทสโทสเตอโรน ( 200, 500 หรือ 800 ng/dL ) มีผลต่ออัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก" 


ความสัมพันธ์ระหว่างเทสโทสเตอโรนกับเอสโตรเจน

       การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล ( Literature Review ) โดย สจวร์ต เอลเลม ( Stuart Ellem ) และ เกล ริซบริดเจอร์ ( Gail Risbridger ) จากมหาวิทยาลัยโมนาช ( Monash University ) ประเทศออสเตรเลีย สรุปว่า 

* * * สมดุลระหว่างฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพต่อมลูกหมาก 

* * * เทสโทสเตอโรนลดลงตามอายุ ในขณะที่ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น 

* * * เอสโตรเจนในระดับสูง อาจกระตุ้นการอักเสบและเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก 

       ดังนั้น ในบางกรณี อาหารเสริมเทสโทสเตอโรนอาจช่วยรักษาสุขภาพของต่อมลูกหมากได้


ที่มา: Journal Steroid Biochemistry Molecular Biology, 118: 246-251 



ลดน้ำตาลเพื่อลดความดันโลหิต 

       ปัจจุบัน ชาวอเมริกันบริโภคพลังงานมากกว่า 3,600 แคลอรีต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 24% จากปี 1961 ( ในขณะนั้นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2,880 แคลอรีต่อวัน )

       ส่วนหนึ่งของปัญหานี้มาจาก การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเพิ่มขึ้น 

       การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจทำให้เกิดโรคอ้วน ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และความดันโลหิตสูง 


ผลการศึกษาจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตต 

* * * กลุ่มตัวอย่างที่มีน้ำหนักเกิน ซึ่งลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลงวันละ 1 แก้ว เป็นเวลา 18 เดือน 

* * * พบว่าความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลดลงเกือบ 2 mmHg

* * * นักวิจัยคาดการณ์ว่า หากลดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลงวันละ 2 แก้ว ผลลัพธ์อาจดียิ่งขึ้น 


ที่มา: Reuters, published online 





 

การลดไขมัน


ข้างล่างนี้ )



สำหรับการเผาผลาญไขมันสูงสุด ช่วงเวลาการกินเป็นกุญแจสำคัญ 

       การลดไขมัน การจำกัดแคลอรี และการยึดติดกับ แผนการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งอย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นเรื่องท้าทาย ดังนั้น การเลือกเวลารับประทานอาหารที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากโปรแกรมพัฒนาร่างกายของคุณ 


       การศึกษาจาก มหาวิทยาลัยมิวนิก ( University of Munich ) ประเทศเยอรมนี พบว่า ช่วงเวลาการรับประทานอาหาร องค์ประกอบทางโภชนาการ และการออกกำลังกายมีผลต่อการเผาผลาญไขมันหลังออกกำลังกาย 


ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ 

       จอร์จ บรูคส์ ( George Brooks ) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ( University of California, Berkeley ) พบว่า 

* * * ร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลักในขณะออกกำลังกายที่ความเข้มข้นต่ำกว่า 65% ของความสามารถสูงสุด 

* * * การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงก่อนออกกำลังกายจะยับยั้งการปล่อยไขมันจากเซลล์ไขมัน และทำให้ การเผาผลาญไขมันหลังออกกำลังกายลดลง 


       นักวิจัยให้กลุ่มทดลอง ออกกำลังกายเป็นเวลา 30 นาทีที่ความเข้มข้นปานกลาง จากนั้นให้รับประทานอาหารที่ประกอบด้วย โปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรต

* * * อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ลดการปล่อยไขมันและใช้พลังงานจากไขมันน้อยลงหลังออกกำลังกาย

* * * อาหารที่มีโปรตีนสูง ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น 


กลยุทธ์การรับประทานอาหารเพื่อเผาผลาญไขมันสูงสุด

///// ต้องการเผาผลาญไขมันสูงสุด 

* * * รับประทาน อาหารที่มีโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำหลังออกกำลังกาย 

* * * หรือ รับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง 2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกาย 


///// ไม่ได้กังวลเรื่องลดน้ำหนัก: 

* * * สามารถรับประทาน อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงหลังออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอหรือความทนทาน 

* * * เพื่อ เติมไกลโคเจนในตับและกล้ามเนื้อ พร้อมส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ 


ที่มา: Hormone and Metabolic Research, published online



ยาที่ลดการไหลเวียนเลือดไปยังเซลล์ไขมัน 

       นโปเลียน โบนาปาร์ต ( Napoleon Bonaparte ) เคยกล่าวไว้ว่า "กองทัพเดินด้วยท้อง" และหากเขาเป็นนักชีวเคมี เขาอาจกล่าวได้ว่า "เซลล์ไขมันเติบโตจากการเพิ่มปริมาณเลือดที่หล่อเลี้ยง"

       การศึกษาจาก มหาวิทยาลัยซินซินแนติ ( University of Cincinnati ) ที่ทำการทดลองในสัตว์ พบว่า สารเคมีที่เรียกว่า Proapoptotic Peptides สามารถช่วยลดน้ำหนักและลดปริมาณอาหารที่บริโภคได้ โดยทำให้ ความหนาแน่นของหลอดเลือดในเซลล์ไขมันลดลง


บทบาทของหลอดเลือดในเซลล์ไขมัน

* * * เซลล์ไขมันมีเส้นเลือดมาเลี้ยงเป็นจำนวนมาก 

* * * เมื่อปริมาณไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้น ความหนาแน่นของหลอดเลือดในเนื้อเยื่อไขมันก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

* * * ไขมันแต่ละปอนด์ที่เพิ่มขึ้นต้องใช้เส้นเลือดใหม่มาหล่อเลี้ยง

       ดังนั้น การลดการไหลเวียนเลือดไปยังเซลล์ไขมันจะทำให้เซลล์ไขมันขาดสารอาหารและพลังงาน 


ผลของการตัดเลือดไปยังเซลล์ไขมัน

* * * ทำให้เซลล์ไขมันขาดสารอาหาร ( Starving the Fat Cells ) 

* * * หยุดกระบวนการสะสมไขมันที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงและแคลอรีสูง 

* * * การลดไขมันที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการลดลงของปริมาณอาหารที่บริโภค ไม่ใช่จากการเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน 

ที่สำคัญคื

* * * สัตว์ทดลองไม่มีผลข้างเคียงจากการรักษา


ศักยภาพของยาที่ควบคุมการไหลเวียนเลือดไปยังเซลล์ไขมัน 

* * * การควบคุมปริมาณเลือดที่เข้าสู่เซลล์ไขมันด้วยยา อาจเป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันโรคอ้วน 


ที่มา: Diabetes, published online 



ยารักษาไมเกรนช่วยลดไขมันในร่างกาย

       
โทพิราเมต ( Topiramate ) เป็นยาที่ใช้รักษา โรคไมเกรน แต่งานวิจัยจากเยอรมนีพบว่า ยานี้ยังช่วยลดไขมันในร่างกายและปรับปรุงสุขภาพการเผาผลาญอีกด้วย

       นักวิจัยให้ผู้ป่วย รับประทานโทพิราเมตวันละ 100 มิลลิกรัม เป็นเวลา 20 สัปดาห์ และพบผลลัพธ์ดังนี้:

* * * ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ลดลง 7% 

* * * มวลไขมันในร่างกายลดลง 12% 

* * * รอบเอวลดลง 4% 

* * * ระดับฮอร์โมนเลปติน ( Leptin ) ลดลง 39% 

* * * ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง 27%


ผลกระทบต่อสุขภาพการเผาผลาญ

* * * โทพิราเมตช่วยเพิ่มระดับอะดิโพเนกติน (Adiponectin) ขึ้น 70%

* * * อะดิโพเนกตินช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดการสะสมของไขมัน


สรุป

* * * โทพิราเมตช่วยลดไขมันในร่างกายและปรับปรุงสุขภาพการเผาผลาญ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน 


ที่มา: Experimental and Clinical Endocrinology & Diabetes, published online 



โกรทฮอร์โมน: ปริมาณที่ดีที่สุดสำหรับการลดไขมัน 

       นักเพาะกายและผู้สูงอายุหลายคนใช้ โกรทฮอร์โมน ( GH - Growth Hormone ) เสริม เพื่อช่วยลดไขมันในร่างกายและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ

       โดยปกติแล้ว ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนตามธรรมชาติเป็นจังหวะ ( Pulses ) ตลอดทั้งวัน ดังนั้น การใช้โกรทฮอร์โมนเสริมควรเลียนแบบธรรมชาติหรือไม่?
 


ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์

       นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เมืองแอนอาร์เบอร์ (University of Michigan in Ann Arbor) พบว่า "วิธีการใช้โกรทฮอร์โมนเสริม" มีผลสำคัญต่อประสิทธิภาพสูงสุด 

* * * การให้โกรทฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับ IGF-1 (Insulin-like Growth Factor-1) สูงที่สุด 

* * * IGF-1 เป็นตัวกลางสำคัญที่ทำให้โกรทฮอร์โมนออกฤทธิ์ในเชิงสร้างกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมัน 

* * * การรับฮอร์โมนหลายครั้งต่อวัน ช่วยเพิ่มผลกระทบต่อการเผาผลาญไขมันได้สูงสุด

* * * แต่การรับฮอร์โมนเพียงครั้งเดียวต่อวัน เหมาะสำหรับการเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ (Anabolic Effects) มากกว่า 



สรุปแนวทางการใช้โกรทฮอร์โมน      

* * * หากต้องการลดไขมัน: ควรรับประทาน โกรทฮอร์โมนหลายครั้งต่อวัน เพื่อให้เกิดผลสูงสุดต่อการเผาผลาญไขมัน 

* * * หากต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ: ควรรับประทาน โกรทฮอร์โมนวันละครั้ง เพื่อเพิ่มผลของกระบวนการสร้างกล้ามเนื้อ 


ที่มา: Journal Clinical Endocrinology and Metabolism, 94: 2828-2834 





 

การฝึก


ข้างล่างนี้ )



Smith Machine กับ Free-Weight Squats 

       ( ภาพบน ) ผู้เชี่ยวชาญด้านความแข็งแรงส่วนใหญ่มัก แนะนำให้ใช้บาร์เบล (Free Weights) มากกว่าเครื่อง Smith Machine เนื่องจาก ท่า Squat ด้วยบาร์เบลเป็นธรรมชาติมากกว่า และต้องใช้กล้ามเนื้อแกนกลาง (Trunk Muscles) มากขึ้น

ในทางกลับกัน Smith Machine เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นมากกว่า เพราะ ช่วยให้ทรงตัวง่ายขึ้นและมักไม่ต้องมี Spotter คำถามคือ วิธีไหนดีกว่าสำหรับการเพิ่มความแข็งแรง?


ผลการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองวิธี

       เชน ชวานเบ็ค ( Shane Schwabbeck ) และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยซัสแคตเชวัน ( University of Saskatchewan ) ประเทศแคนาดา ได้ทำการศึกษาผลกระทบของ Smith Machine Squats และ Free-Weight Squats ต่อการกระตุ้นกล้ามเนื้อขา

       พวกเขาใช้ Electromyography ( EMG ) เพื่อวัด การกระตุ้นไฟฟ้าในกล้ามเนื้อแต่ละมัด 

* * * ทั้งสองวิธีสามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อขาแต่ละมัดได้เท่ากัน 

* * * อย่างไรก็ตาม การใช้ Free-Weight Squats สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อทั้งหมดในช่วงล่างของร่างกายได้มากกว่า Smith Machine Squats ถึง 45% 

* * * Free-Weight Squats สร้างแรงกดดันต่อร่างกายส่วนล่างมากกว่า Smith Machine Squats 

* * * อย่างไรก็ตาม ทั้งสอองวิธีสามารถพัฒนาแรงในกล้ามเนื้อเฉพาะมัดได้ดีพอ ๆ กัน 


ข้อกังวลเกี่ยวกับ Smith Machine

       ผู้เชี่ยวชาญบางคนไม่แนะนำให้ใช้ Smith Machine มากนัก เพราะ: 

* * * ทำให้การรักษาแนวกระดูกสันหลัง ( Neutral Spine ) เป็นไปได้ยากกว่า 

* * * จำกัดการเคลื่อนไหวในแนวเดียว ( Single Plane Motion ) ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ 


สรุป

Free-Weight Squats 

* * * กระตุ้นกล้ามเนื้อขาได้ดีขึ้น ( โดยรวม 45% มากกว่า Smith Machine ) 

* * * ใช้กล้ามเนื้อแกนกลางมากกว่า 

* * * ช่วยพัฒนาความมั่นคงและสมดุลของร่างกาย 


Smith Machine Squats 

* * * เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการฝึกท่าสควอตโดยไม่ต้องใช้ Spotter

* * * ลดความซับซ้อนของการทรงตัว 

       หากเป้าหมายหลักของคุณคือ การพัฒนาแรงและความมั่นคงของร่างกาย การฝึก Free-Weight Squats จะให้ประโยชน์มากกว่า 

       แต่ถ้าคุณเป็นมือใหม่ Smith Machine อาจเป็นตัวเลือกที่ดี ในการฝึกพื้นฐานก่อนเข้าสู่การใช้บาร์เบล 


ที่มา: Journal Strength Conditioning Research, 23: 2588-2591



เผาผลาญแคลอรีมากขึ้นด้วยการขึ้นบันไดแบบก้าวสลับ

       ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักส่วนใหญ่แนะนำให้ เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ แต่คำถามคือ วิธีไหนเผาผลาญแคลอรีได้ดีที่สุดขณะขึ้นบันได? 

       จิงเกอร์ ก๊อตต์ชาลล์ ( Jinger Gottschall ) และทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต ( Pennsylvania State University ) พบว่า การก้าวขึ้นบันไดแบบก้าวสลับ ( Alternate Step Climbing ) หรือการเดินขึ้นโดยก้าวทีละข้างสลับกัน จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้มากกว่าการก้าวขึ้นทีละขั้น 

* * * การเดินขึ้นแบบก้าวสลับช่วยให้ร่างกายเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและใช้แรงมากขึ้น ส่งผลให้เผาผลาญพลังงานสูงขึ้น 

* * * การขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ และสามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการออกกำลังกายในชีวิตประจำวันได้ง่าย 


ที่มา: Journal Strength and Conditioning Research, 24: 2558-2563 



การฝึกด้วยโซ่ช่วยเพิ่มความเร็วในการยกน้ำหนัก

       
นักกีฬายกน้ำหนักระดับสูงมักใช้ โซ่หรือยางยืด เพื่อเพิ่มแรงต้านแบบแปรผัน ( Variable Resistance ) ในการฝึก เมื่อโซ่ถูกแขวนไว้กับบาร์เบล แรงต้านจะเพิ่มขึ้นเมื่อบาร์เบลถูกยกขึ้นจากพื้น หรือเมื่อสายยางถูกดึงให้ตึงขึ้น 

       นักวิจัยชาวออสเตรเลียพบว่า การฝึกด้วยโซ่ช่วยเพิ่มความเร็วในการกดบาร์ ( Bar Velocity ) ในท่า Bench Press 


ผลลัพธ์จากการศึกษา

* * * ข้าร่วมทดลองทำ Bench Press แบบ 3 ครั้งต่อเซต โดยใช้วิธีฝึกแบบดั้งเดิม เปรียบเทียบกับการฝึกที่มีโซ่ถ่วงน้ำหนัก 17.5 กก. (38.5 ปอนด์) ห้อยไว้ที่บาร์เบล 


* * * การเพิ่มโซ่ช่วยเพิ่มความเร็วของการออกแรงดัน ( Concentric Phase ) ขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับการกดบาร์แบบปกติ 


* * * โซ่ยังช่วยเพิ่มความเร็วในช่วงที่บาร์เบลลดลง ( Eccentric Phase ) แต่ผลกระทบนี้แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล 



ประโยชน์ของการฝึกด้วยโซ่

* * * ช่วยเพิ่มความสามารถในการระเบิดพลัง ( Explosive Strength ) 

* * * เพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อระหว่างช่วงยืดเหยียด ( Stretch-Shortening Cycle ) 

* * * ช่วยให้บาร์เบลลดลงด้วยความเร็วสูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นแรงตึงในกล้ามเนื้อหน้าอกและไหล่มากขึ้น 

* * * เพิ่มความเร็วในการออกแรงดันในช่วงกดบาร์ ( Pushing Velocity ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 



ที่มา: Journal Strength Conditioning Research, 23: 1941-1946



ความสำคัญของช่วงเวลาการรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มขนาดและความแข็งแรงสูงสุด

       สารอาหาร เช่น กรดอะมิโนและคาร์โบไฮเดรต มีบทบาทสำคัญในการให้พลังงานสำหรับการออกกำลังกาย รวมถึงช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย 


หลังออกกำลังกาย ร่างกายอยู่ในภาวะ Catabolic ( การสลายตัวของเนื้อเยื่อ )

* * * ระดับพลังงานในร่างกายต่ำ 

* * * เนื้อเยื่อได้รับความเสียหายและเกิดการอักเสบ 

* * * สมดุลของของเหลวและเชื้อเพลิงในร่างกายถูกรบกวน 


บทบาทของสารอาหารหลังออกกำลังกาย 

       จอห์น ไวลีย์ ( John Ivy ) และ ลิซ่า เฟอร์กูสัน ( Lisa Ferguson ) จากมหาวิทยาลัยเทกซัส ( University of Texas ) 

* * * อธิบายถึงความสำคัญของ ช่วงเวลาทองหลังออกกำลังกาย ( Post-Exercise Fuel Replenishment ) 

* * * ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกซ้อม 


///// การเสริมสารอาหารหลังออกกำลังกายช่วยส่งเสริมการฟื้นตัวและเปลี่ยนแปลงระบบเผาผลาญของร่างกาย

///// จากภาวะ Catabolic ( การสลายตัว ) ไปสู่ภาวะ Anabolic ( การสร้างกล้ามเนื้อ )


โภชนาการที่แนะนำหลังออกกำลังกาย 

* * * ควรรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนคุณภาพสูง

* * * คาร์โบไฮเดรตช่วยเติมไกลโคเจนกล้ามเนื้อ ซึ่งจำเป็นสำหรับการฝึกหนักและการแข่งขัน 

* * * โปรตีนช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 

นักวิจัยแนะนำให้ รับประทานอาหารเสริมที่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนทันทีหลังออกกำลังกาย และอีกครั้งภายใน 2 ชั่วโมง เพื่อ: 

* * * เติมไกลโคเจนให้เต็มประสิทธิภาพ 

* * * ลดความเสียหายของกล้ามเนื้อ

* * * ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน 

* * * เพิ่มอัตราการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 


ที่มา: Strength and Conditioning Journal, 32: 30-36 





 

การตอบปฏิเสธ


ข้างล่างนี้ )



       ( ภาพบน )  เมื่อจะมีการนัดหมายใดๆ บุคคลภายนอกมักจะเอาตัวเองเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น หลังเวลางานของเขาคือ 17.00 น. เขาจะมีเวลาว่าง และนั่นแปลว่าเราก็ต้องมีเวลาว่างด้วย หรือวันหยุดราชการที่เขาไม่ต้องไปทำงาน เขาก็ต้องคิดว่าเราต้องว่างเช่นกัน แต่สิ่งเหล่านั้น ใช้ไม่ได้กับนักเพาะกายอย่างพวกเรา เพราะหลังเวลา 17.00 น.อาจจะเป็นเวลาเล่นกล้ามของเรา หรือวันหยุดราชการ ซึ่งตรงกับวันอังคาร ก็เป็นวันที่เราจะต้องบริหารกล้ามปีก และไทรเซบ แล้วเราจะทำอย่างไร?

       โรแลนด์ คิคคินเจอร์ ( Roland Kickinger ) มิสเตอร์ออสเตรเลีย ( ภาพบน ) ให้ความเห็นไว้ว่า ความสำเร็จของนักเพาะกายขึ้นกับความมีวินัยในการฝึก และเมื่อเพื่อนสาว หรือญาติ นัดเราไปเที่ยวหรือทำธุระที่ตรงกับเวลาฝึกของเรานั้น ในความเห็นของเขาเหล่านั้น มองว่าไม่น่าจะเสียหายอะไรหากต้องหยุดฝึกสัก 1 วัน แต่สำหรับนักเพาะกายแล้ว มันจะทำให้ตารางฝึกที่เรียงลำดับไว้เป็นอย่างดี ต้องได้รับผลกระทบกันไปเป็นลูกระนาด อีกทั้งเมื่อมีครั้งที่ 1 ก็ต้องมีครั้งที่ 2 อีก ดังนั้นหากต้องมีการเลือกระหว่างแฟนของคุณกับตารางฝึก เราควรให้น้ำหนักกับตารางฝึกมากกว่า และให้เขาเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหา เช่นนัดในช่วงเวลาที่เราไม่ได้ฝึกเป็นต้น แล้วควรจะพูดอย่างไร?

       ไม่ต้องหาคำแก้ตัวอื่น เช่น พอดีติดธุระ หรือว่ารู้สึกไม่สบาย แต่ควรพูดไปตรงๆว่า "ตามที่คุณนัดผมพรุ่งนี้ตอนหัวค่ำนั้น ผมไม่อาจไปได้ เพราะผมต้องบริหารกล้ามขาครับ" แรกๆคนฟังจะรู้สึกว่า เหตุผลฟังไม่ขึ้นเลย แต่เมื่อคบกันไปนานๆก็จะรู้ว่าเราเป็นนักเพาะกายที่มีจุดยืนของตนเอง ซึ่งแสดงออกถึงความมีวินัยของเรา ซึ่งนอกจากจะดู "แมน" มาก แล้ว มันยังทำให้คุณรู้จักควบคุมชีวิตของตัวเอง ไม่ถูกทำให้เขวโดย ผู้อื่น ( เพื่อนเลวๆที่ชักชวนไปทานเหล้า ) หรือ สิ่งอื่น ( การพนัน ,การเที่ยวกลางคืน ฯลฯ ) ครับ




nowhavefun.com

ฝึกตอนเช้ากับฝึกตอนบ่าย อันไหนดีกว่ากัน

       ข้อเท็จจริงก็คือว่า Phil Heath มิสเตอร์โอลิมเปีย 3 สมัย ฝึกตอน 7 โมงเช้า / ในขณะที่ Jay Cutler มิสเตอร์โอลิมเปีย 4 สมัย ฝึกตอนหัวค่ำ จนบางครั้งก็ฝึกตอนดึกเลยทีเดียว

       นักวิจัยทดลองกับนักเพาะกายเพศชายจำนวน 10 คน โดยตั้งหัวข้อการวิจัยไว้ว่า การฝึกช่วงเช้า กับช่วงเย็น มีข้อแตกต่างกันอย่างไร? โดยคำว่า "แตกต่าง" ในที่นี้ ดูจากการที่ร่างกาย ผลิต ฮอร์โมนคอร์ติซอล ในช่วงไหน มากกว่ากัน

       ผลการทดลองชี้ชัดเจนเลยว่า การฝึกช่วงเช้าและช่วงสายๆ มีความแตกต่างเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับการฝึกในช่วงเย็นจนถึงหัวค่ำ

       คือ เมื่อนักเพาะกายที่ถูกทดลองได้เล่นกล้ามตอนเช้า หรือสายๆนั้น ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล ออกมามากว่าฝึกช่วงเย็นจนถึงหัวค่ำ ( Webmaster - ซึ่งการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมานั้น เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ )

       แต่นักวิจัยก็ทิ้งท้ายไว้นิดนึงว่า ขึ้นอยู่กับการกำหนดนาฬิการชีวิต ( Circaian rhythms ) ของเราด้วย

       ( อ้างอิงจากหนังสือเฟล็กซ์ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2557 หน้า เจ็ดสิบสาม )


Webmaster - อธิบายเพิ่มเติมอย่างนี้ครับ ถ้าเราถามด้วยคำถามแบบห้วนๆว่า ฝึกเวลาไหนดีกว่ากัน? คำตอบก็คือ ฝึกตอนเย็น หรือหัวค่ำดีกว่า เพราะร่างกายผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล น้อยกว่าการฝึกช่วงเช้า หรือสายๆ

       แต่หาก นาฬิการชีวิต คือความชินของคนๆนั้น ฝึกตอนเช้าอยู่แล้ว ร่างกายก็จะไม่มีผลเสียอะไร คือร่างกายก็จะไม่ผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมามาก เข้าใจนะครับ 



- END -