Monday, July 19, 2021

เกร็ดความรู้ อาทิตย์ที่ 9 E

 

  

 ข้อแนะนำเรื่องการเลือกไอดอล ของคุณ   

       ไอดอล ในที่นี้ ผมพูดทับศัพท์เลยนะครับ คือมันหมายถึง การที่เราเลือกนักเพาะกายที่เราชื่นชอบ และยึดถือเป็นต้นแบบในการฝึก การทานอาหาร การปฏิบัติตัว ฯลฯ

       การมีไอดอล ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ โดยเฉพาะในเวลาที่เรา "ไฟตก"  /  พอถึงสภาวะนั้น ( ไฟตก ) แล้วเราได้ดูไอดอลของเรา เราก็จะได้มีกำลังใจในการเพาะกายต่อไปได้


       ในครั้งนี้ ผมจะแนะนำเรื่องวิธีการเลือกไอดอล ที่นักเพาะกายทั่วไปเขาใช้กันนะครับ


แบบที่ 1 : เลือกตาม "ความสูง"

ข้างล่างนี้ )


        สมมติว่าเพื่อนสมาชิกมีความสูง 165 เซนติเมตร การที่เราจะเลือกไอดอล ที่เป็นนักเพาะกาย ที่สูง 180 เซนติเมตร ก็ไม่ผิดหรอกครับ เพียงแต่ว่า เรื่องของความสูงมันใช้ความอุตสาหะ ทำให้สูงไม่ได้

       คือหมายความว่า ถ้าเราจะพยายามทำตัวให้สูงเท่ากับไอดอลของเรา ที่มีความสูงต่างจากเรามาก  มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และจะทำให้เราท้อใจเปล่าๆ

pinterest.com 


       ( ภาพบน ) ลองเลือกไอดอลนี้ดีกว่าครับ  คือคุณ ลี เพรียส ( Lee Priest ) ซึ่งมีความสูง 163 เซนติเมตร ( 5 ฟุต 4 นิ้ว ) อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนี้  /  คุณดูกล้ามเนื้อของเขาสิครับ สวยงามเกินคำบรรยาย

       คิดดูนะครับว่า คุณสูงตั้ง 165 เซนติเมตร ยังสูงกว่าคุณ ลี  เพรียส ตั้ง 2 เซนติเมตร

       ในเมื่อคุณ ลี  เพรียส สร้างกล้ามได้สวยขนาดนี้ ในความสูงขนาดนี้ แล้วคุณยังสูงกว่าเขาตั้ง 2 เซนติเมตร  เมื่อสร้างกล้ามให้ดีแล้ว ก็ต้องสวยกว่าคุณ ลี  เพรียส แน่นอน  คิดอย่างนี้นะครับ แล้วจะได้มีกำลังใจ  ดีกว่าคุณไปเลือกไอดอล เป็นนักเพาะกายที่สูง 180 เซนติเมตร เป็นไหนๆ ( นักเพาะกายที่สูง 180 เซนติเมตร บางคน ก็กล้ามสวยสู้คุณ ลี  เพรียส ที่สูง 163 เซนติเมตร ไม่ได้เลยครับ ห่างไกลกันเลย )  


แบบที่ 2 : เลือกตาม "อายุ"

ข้างล่างนี้ )


       สมมติว่าเพื่อนสมาชิกอายุ 32 ปี และพึ่งจะเริ่มเล่นกล้าม แล้วก็คิดว่า ในวงการเพาะกาย มีแต่นักเพาะกายหนุ่มๆ อายุระหว่าง 18 ปี - 25 ปี เท่านั้น ไม่รู้จะเอาใครเป็นไอดอลดี  อันนั้นคุณ "คิดผิด" นะครับ

       นักเพาะกายระดับแข่งขัน เขามีหลายอายุนะครับ และก็ยังแข่งที่เวทีเดียวกันอีกด้วย  /  คือหมายถึงว่า นักเพาะกายอายุ 18 ปี กับ 50 ปี ก็ยังแข่งใน
เวทีเดียวกัน  ( นักเพาะกายที่อายุ 50 ปี และยังแข่งบนเวทีเดียวกันกับนักเพาะกายรุ่นหลานในเวทีเดียวกัน ก็เช่นคุณ เดกเธอร์  แจ็คสัน ( Dexter Jackson )


ภาพบน ) ภาพจากนิตยสารเพาะกาย ค.ศ.2017


        ( ภาพบน ) ถ้าคุณอายุ 32 ปี ลองมองหาไอดอล ที่เป็นนักเพาะกายที่อายุใกล้เคียงกับคุณดูสิครับ  ยกตัวอย่างเช่น คุณ วิลเลียม  โบแนค ( William  Bonac ) ที่เห็นในภาพข้างบนนี้  ซึ่งเขาอายุ 35 ปี แล้ว

       ทำไมถึงทราบว่าคุณ อายุ 35 ปี แล้ว คำตอบก็คือ ให้ดูใน "นิตยสารเพาะกาย" นะครับ  คือนิตยสารเพาะกายฉบับที่ผมนำภาพมาให้ดูข้างบนนี้ ตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี พ.ศ.2560 หรือ ค.ศ.2017 ซึ่งเป็นคำสัมภาษณ์เรื่องการฝึกของเขา นั่นก็หมายความว่าภาพถ่ายประกอบคำสัมภาษณ์นั้น ก็คือภาพถ่าย ณ.ปัจจุบัน ในปีที่นิตยสารเพาะกายนั้น ตีพิมพ์

       คุณวิลเลียม เกิดวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2525 หรือ ค.ศ.1982  ดังนั้น ภาพที่เห็นอยู่ข้างบนนี้ ซึ่งก็คือนิตยสารเพาะกาย ฉบับปี พ.ศ.2560 หรือ ค.ศ.2017 นั้น คุณวิลเลียม ก็จะมีอายุเท่ากับ 35 ปี ( มาจาก พ.ศ.2560 "ลบด้วย" พ.ศ.2525 )

       คราวนี้ เราก็แน่ใจได้แล้วนะครับว่า ภาพถ่ายข้างบนนี้ เป็นของคุณวิลเลียม ที่ถ่ายไว้ตอนอายุ 35 ปี

       เพื่อนสมาชิก อายุ 32 ปี ยังอายุน้อยกว่าคุณวิลเลียม ตั้ง 3 ปี ดังนัั้น ถ้าคุณเล่นกล้ามออกมาแล้ว ด้วยความหนุ่มของคุณ คุณก็ต้องทำได้ดีกว่าคุณวิลเลียม อยู่แล้ว เพราะคุณหนุ่มกว่า ( คิดแบบนี้นะครับ จะได้มีกำลังใจ )

       ดูวิธีฝึกของเขา ว่าเขาใช้ลูกน้ำหนักขนาดไหน? ดูวิธีทานอาหารของเขา ว่าเขาทานอะไรบ้าง ปริมาณเท่าใด?

       ในเมื่อเขาอายุพอๆกับคุณ ( แถมยังแก่กว่าตั้ง 3 ปี ) แล้วเขาฝึกแบบนี้  ทานแบบนี้ เราก็ต้องสามารถฝึกได้ ทานได้ แบบเขา จริงไหมครับ?  เพราะอายุพอๆกัน

       ดูวิธีฝึกของเขา ว่าเขาใช้ลูกน้ำหนักขนาดไหน? ดูวิธีทานอาหารของเขา ว่าเขาทานอะไรบ้าง ปริมาณเท่าใด?

       ในเมื่อเขาอายุพอๆกับคุณ ( แถมยังแก่กว่าตั้ง 3 ปี ) แล้วเขาฝึกแบบนี้  ทานแบบนี้ เราก็ต้องสามารถฝึกได้ ทานได้ แบบเขา จริงไหมครับ?  เพราะอายุพอๆกัน


แบบที่ 3 : เลือกตาม "ความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย"

ข้างล่างนี้ )


forum.bodybuilding.com


       ( ภาพบน ) นักเพาะกายบางคน ก่อนเล่นกล้ามก็มีร่างกายธรรมดาๆ เหมือนคนปกติทั่วไป แล้วพอเล่นกล้ามแล้ว ก็มีพัฒนาการที่ดีขึ้น คือมีกล้ามเนื้อมากขึ้น


       แต่กับนักเพาะกายบางคน  ก่อนเล่นกล้ามเขามีร่างกายที่ผอมมาก ดูแห้ง ดูโทรมกว่าคนปกติเลย  แต่ว่าพอเล่นกล้ามแล้ว กลับมีพัฒนาการที่ดีมาก เปลี่ยนไปชนิดที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว 

       ยกตัวอย่างเช่นนักเพาะกายในภาพข้างบนนี้ ซึ่งก็คือคุณ เดกเทอร์  แจ็คสัน ( Dexter Jackson )  ที่สมัยเล่นกล้ามใหม่ๆ ตัวเขาผอม และกล้ามเนื้อก็ดูแบนๆ ลีบๆ ( ในภาพซ้ายบน )  แต่พอเล่นกล้ามไปเรื่อยๆแล้ว เขากลับมีพัฒนาการที่ "น่าตื่นตา ตื่นใจ" คือมีกล้ามเนื้อเพิ่มเติมขึ้นมา สวยงามยิ่งนัก ( เหมือนในภาพทางขวาบน )

       ถ้าเทียบกัน ระหว่างนักเพาะกาย ที่ก่อนจะเล่นกล้าม เขามีร่าบกายธรรมดา แล้วก็พัฒนาการไปเป็นนักกล้ามนั้น มัน ไม่น่าตื่นตา ตื่นใจเท่าไร

       แล้วเทียบกับนักเพาะกาย ที่ก่อนเล่นกล้าม มีสภาพร่างกายดูแย่กว่าคนปกติ แล้วมีพัฒนาการที่ดีนี่สิ มันถึงจะ "น่าตื่นตา ตื่นใจ" ดีจริงๆ

       ความ "น่าตื่นตา ตื่นใจ" นี้นั่นแหละ ที่เหมาะที่จะเป็นแบบอย่าง เหมาะที่จะเป็นไอดอล เหมาะที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เราอยากเป็นได้อย่างเขาบ้าง

       ดังนั้น เราก็เลยเลือกคุณ เดกเทอร์  แจ็คสัน ที่เห็นในภาพข้างบนนี้ ให้เป็นไอดอลของเรานั่นเองครับ เพราะเขามีพัฒนาการที่ "น่าตื่นตา ตื่นใจ" ยิ่งนัก


แบบที่ 4 : เลือกตาม รูปร่างหน้าตา ,ความชอบส่วนตัว

ข้างล่างนี้ )


pinterest.com


        ( ภาพบน ) ในกรณีที่เราไม่คิดอะไรมาก คือไม่คิดว่าไอดอลของเรา จะต้องมีความสูงเท่าไร จะต้องมีอายุเท่าไร จะต้องมีพัฒนาการดีไหม  เราก็สามารถเลือกไอดอลของเรา ให้เป็นนักเพาะกายที่มีรูปร่างหน้าตาถูกใจเราก็ได

       ยกตัวอย่างเช่น คุณ อังเดร เดอู ( Andrei Deiu ) ในภาพข้างนนนี้ ดูเป็นคนหล่อเหลาเอาการ ดูหนุ่มแน่น และมีมัดกล้ามสวยงาม  เพียงเท่านี้ เราก็ยึดเป็นไอดอลของเราได้แล้ว โดยที่ไม่ต้องไปดูเรื่องความสูง  ไม่ต้องดูเรื่องอายุ  ไม่ต้องดูเรื่องพัฒนาการ 

       เปรียบเหมือนการอยากทานอาหารที่น่าทาน  เราก็ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องไปคิดว่ามันจะมีประโยชน์ไหม มันประกอบมาจากอะไรบ้าง ฯลฯ  คือถ้าเห็นว่ามันน่าทาน  เราก็ทานมันเลย ขอว่าไม่ให้เป็นพิษภัยกับเราก็พอ

       พอเราได้ทานของที่เราถูกใจ ก็จะทำให้เรามีความสุข และมีชีวิตยืนยาว

       การเลือกไอดอลแบบตามใจเราก็เช่นกัน ถ้าเราได้ไอดอลที่เราถูกใจแล้ว ( คือหล่อและหุ่นดีเข้าว่า ) ก็จะทำให้เราเล่นกล้ามได้นานกว่าคนอื่นๆ เพราะเรามีความสุขที่จะได้ติดตามไอดอลของเราทั้งวิธีฝึก วิธีทาน และความมีวินัยของเขา


หมายเหตุ - ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่เลือก คุณ อังเดร เดอู เป็นไอดอล ไม่ใช่ว่าเขาหล่อ และหุ่นดีอย่างเดียวนะครับ  ที่เลือกคุณ อังเดร ก็เพราะว่า เขายังอยู่ในช่วงแข่งชันประวกวดเพาะกาย ( ไม่ใช่เกษรียณแล้ว ) และรายการประกวดเพาะกายของเขา ก็ยังเป็นรายการของ IFBB อีกด้วย

       ที่ต้องเน้นเรื่องนี้ก็เพราะว่า มันจะมีนักกล้ามนายแบบ ที่หล่อและหุ่นดีเพอๆกับคุณ อังเคร  แต่ไม่ได้ประกวด หรือ เกษียณตัวเองไปแล้ว ไม่ได้ประกวดอีกแล้ว  คนพวกนี้ ( หมายถึงพวกที่ไม่ได้ประกวด รวมไปถึงพวกที่เกษียณตัวเองไปจากการประกวดแล้ว ) มีอัตราเสี่ยงในการใช้ สเตียรอยด์ นะครับ ไม่ควรยึดถือเอามาเป็นไอดอล

       การยึดเอานักกล้ามที่หล่อ และกล้ามสวย แต่มีความเสี่ยงในเรื่องการใช้ สเตียรอยด์ มันก็เหมือนการทานอาหารที่น่ากิน แต่มีพิษนะครับ คือถ้ามารู้ตอนหลังว่าเขาใช้ สเตียรอยด์ มันก็จะเสียเวลา เสียความรู้สึกของคุณเปล่าๆ

       การเลือกไอดอลที่เป็นนักเพาะกายที่ "ไม่เสี่ยง" เรื่องการใช้ สเตียรอยด์ นั้น มีขยายความในข้อต่อไปนะครับ ลองอ่านไปเรื่อยๆ


แบบที่ 5 : เลือกเฉพาะนักเพาะกาย ที่มีช่วงอายุ

อยู่ในช่วงระหว่างการแข่งขัน "เท่านั้น"

ข้างล่างนี้ )


musclemecca.com 


       การที่มีเวทีประกวดใหญ่ๆ การันตีให้นักเพาะกายนั้น เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า นักเพาะกายผู้นั้น ไม่ใช้ สเตียรอยด์  ซึ่งการ ใช้หรือไม่ใช้ สเตียรอยด์ นั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับเราที่จะตัดสินใจว่าจะยึดถือเขาเป็นไอดอลของเราหรือไม่?

       ที่ว่าสำคัญที่สุดก็เพราะว่า ถ้านักเพาะกายผู้นั้น ใช้ สเตียรอยด์ มันก็เสียเวลาสำหรับพวกเรา ที่จะไปเขาเอาเป็นไอดอล ดูวิธีฝึก ดูวิธีทานอาหารจากเขา เพราะว่ากล้ามเนื้อเขาใหญ่มาจากสเตอรอยด์ ไม่ใช่วิธีฝึก วิธีทานอาหาร ของเขา

       เคยมีคนพูดไว้ว่า นักเพาะกายระดับแข่งขัน ใช้สารกระตุ้น สเตียรอยด์ ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เวทีใหญ่ๆ อย่างมิสเตอร์โอลิมเปีย ( Mr.Olympia ) และอาร์โนลด์คลาสสิค ( Arnold Classic )

       ถ้าคิดอย่างนั้น ( คือคิดว่านั
กเพาะกายระดับแข่งขันทุกคน ใช้ สเตียรอยด์ ) ลองพิจารณาข้อความข้างล่างนี้ดูนะครับ 


* * * เจย์  คัทเลอร์ ( Jay Culter ) ถูกตรวจพบสารกระตุ้น ใน รายการประกวดมิสเตอร์โอลิมเปีย ปี พ.ศ.2544  /  ค.ศ.2001 และถูกปลดออกจากตำแหน่ง


* * * ชอว์น  เรย์ ( Shawn Ray ) ถูกตรวจพบสารกระตุ้น ใน รายการประกวดอาร์ในลด์คลาสสิค ปี พ.ศ.2533  /  ค.ศ.1990 และถูกปลดออกจากตำแหน่ง 


       และการโดนปลดออกจากตำแหน่งเพราะการตรวจเจอสารกระตุ้น สเตียรอยด์ สำหรับ 2 กรณีนี้ ก็ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้  /  คือตราบใดที่มีการสืบค้นด้วยกูเกิ้ล การโกงด้วยการใช้ สเตียรอยด์ ใน 2 กรณีข้างบนนี้ ก็จะถูกเปิดอ่านได้ทุกครั้งไป เสียชื่อเสียงเป็นอย่างที่สุด  ( ยกตัวอย่าง การบันทึกประวัติไว้ที่  https://en.wikipedia.org ซึ่งสามารถตรวจได้ด้วยกูเกิ้ล )

       การเสียชื่อเสียงไปตลอดกาลแบบนี้ สำหรับนักเพาะกาย 2 ท่านนี้ เขาทั้งคู่ย่อมต้องทำทุกวิถีทางที่จะลบสิ่งนี้ออกไปจากประวัติศาสตร์ "แต่" ไม่สามารถทำได้ เพราะระบบข้อมูลของต่างประเทศนั้น เขาชัดเจน และไม่มีการเกรงใจใคร 

       สิ่งที่ผมกำลังจะสื่อก็คือว่า สำหรับการประกวดรายการใหญ่ๆ ( ยกตัวอย่างเช่น มิสเตอร์โอลิมเปีย และ อาร์โนลด์คลาสสิค ) เขามีการตรวจสเตอรอยด์ที่เข้มงวดมาก คือถ้า ใช้สเตียรอยด์เมื่อไร ก็ตรวจเจอเมื่อนั้น ไม่มีการเกรงใจว่า คนนี้เป็นแชมป์ หรือมีชื่อเสียงโด่งดังมาก่อน

       คนไทยที่ชอบพูดว่า การประกวดเพาะกายรายการใหญ่ๆ ผู้เข้าแข่งขันก็ใช้ สเตียรอยด์ ทั้งนั้น  ขอให้คิดเสียใหม่นะครับ เพราะว่าไม่อย่างนั้น ในปี พ.ศ.2533  /  ค.ศ.1990 ( ในกรณีของ ชอว์น  เรย์ ) และในปี ปี พ.ศ.2544  /  ค.ศ.2001 ( ในกรณีของเจย์  คัทเลอร์ ) เขาก็ต้อง ตรวจเจอสเตอรอยด์กับ "ผู้เข้าแข่งขันทุกคน" แล้วสิครับ ทำไมถึงเจอแค่ เจย์  คัทเลอร์ และ ชอว์น  เรย์ เท่านั้น

       และยิ่ง คนที่ได้ที่ 2 ที่มาแทนตำแหน่งแชมป์ทั้ง 2 รายการนี้ เขาก็ตรวจไม่เจอ สเตียรอยด์ และ "หุ่นก็ใกล้เคียง" กับคนได้ที่ 1 ด้วย ( คนได้ที่ 1 ถูกแบนไป เพราะตรวจเจอ สเตียรอยด์ )

       นั่นก็หมายความว่า คนที่ได้ที่ 2 นั้น ไม่ใช้สาร สเตียรอยด์ เพราะถ้าใช้ สเตียรอยด์ ก็ต้องถูกตรวจเจอด้วยเหมือนกัน ) เขาก็ยังมี "หุ่นใกล้เคียง" กับคนได้ที่ 1 ( คนได้ที่ 1 ใช้ สเตียรอยด์ แล้วถูกแบน )

       นั่นก็หมายความว่า นักเพาะกายทั้งหมดที่เข้าประกวด ที่อยู่ใน ตำแหน่งที่ 2 ไล่ลงไปนั้น ก็ไม่มีใครใช้สาร สเตียรอยด์ เลย เพราะถ้าใช้ สเตียรอยด์ ก็ต้องตรวจเจอ  /  คนที่ใช้มีคนเดียว คือคนที่ได้ที่ 1 ( ที่ถูกแบนไป )

       นั่นก็หมายความว่า เราสามารถสร้างกล้ามสวยๆได้ โดยไม่ต้องพึ่ง สเตียรอยด์ แต่อ่างใดนะครับ  โดยดูได้จาก คนได้ที่ 2 ( ที่มาแทนคนได้ที่ 1 ) ในรายการ อาร์โนลด์คลาสิค ในปี พ.ศ.2533  /  ค.ศ.1990 และคนได้ที่ 2 ( ที่มาแทนคนได้ที่ 1 ) ในรายการ มิสเตอร์โอลิมเปีย ในปี พ.ศ.2544  /  ค.ศ.2001 เขาก็มีหุ่นสวย และใหญ่โตไม่แพ้คนที่ได้ที่ 1 ( ที่ใช้ สเตียรอยด์ ) แต่อย่างใดนะครับ

       ดังนั้น สมมติฐานของคนที่พูดว่า ผู้เข้าแข่งขันในรายการใหญ่ๆ ( เช่น มิสเตอร์โอลิมเปีย และ อาร์โนลด์คลาสสิค ) ทุกคนใช้ สเตียรอยด์  "จึงตกไป" ด้วยเหตุผลนี้นะครับ


หมายเหตุ - ถ้ารายการ มิสเตอร์โอลิมเปีย และ อาร์โนลด์คลาสสิค  แค่จะ "เชือดไก่ให้ลิงดู" ( หมายความว่า ทำให้คนรอบข้างดูว่า รายการประกวดของเขา มีการตรวจ สเตียรอยด์ เข้มข้น แต่ความจริง ไม่ใช่ เพราะเป็นแค่ "หาแพะ" เฉยๆ ) เขาก็คง "ไม่ทำ" กับคนที่ได้ที่ 1 หรอกครับ เขาก็ต้องทำกับคนที่ได้อันดับ 15 หรือ 20 นั่นแหละ  เขาคงไม่ทำ ( คือ "ไม่เชือดไก่ให้ลิงดู" หรือ "หาแพะ" ) กับคนที่ได้ที่ 1 หรอกครับ  คิดถึงหลักความเป็นจริงด้วย


( เสริม ) ถึงแม้จะเป็นนักเพาะกายที่เข้าประกวด

แต่ก็ต้องดู "ช่วงอายุ" ที่เขาเข้าประกวดด้วย


ข้างล่างนี้ )


neverfearfailure.com 

 ( ภาพบน ) ลี  เพรียส ตอนอายุ 21 ปี ( ถ่ายปี พ.ศ.2535 )


        ( ภาพบน ) ถึงแม้จะเป็นนักเพาะกายที่เข้าประกวด แต่เราก็ต้องดู "ช่วงอายุ" ที่เขาเข้าประกวดด้วย  ยกตัวอย่าง คุณ ลี เพรียส ( Lee Priest ) เราก็ต้องเลือกดูเฉพาะคำแนะนำช่วง "ก่อน" ปี พ.ศ.2545 หรือ ค.ศ.2002 ซึ่งก็คือ "ก่อน" อายุ 30 ปีเท่านั้น เพราะคุณลี  เพรียส เขา "เลิกประกวด" ตอนอายุ 31 ปี

       คือหมายความว่า แม้ว่าหลังจากปี พ.ศ.2545 หรือ ค.ศ.2002  คุณ ลี เพรียส จะยังเล่นกล้ามอยู่ และทำ Youtube สอนการเพาะกายออกมาอย่างต่อเนื่อง  "แต่" กล้ามเนื้อที่เราเห็นนั้น ( หมายถึงหลังจาก พ.ศ.2545 หรือ ค.ศ.2002 ) เรา "ไม่แน่ใจ" ว่ามันมาจาก สเตียรอยด์ หรือไม่ เพราะไม่มีอะไรมาการันตีแล้ว คือไม่มีการตรวจปัสสาวะด้วยเวทีประกวดใหญ่ๆมาการันตีแล้ว

       วิธีที่ปลอดภัยสำหรับเพื่อนสมาชิกก็คือ ดู Youtube เก่าๆของคุณลี  เพรียส ด้วยการ Searh ปี ค.ศ..ให้ต่ำกว่า ให้น้อยกว่าปี ค.ศ.2002 ก็แล้วกันครับ  /  ถ้าจะ Searh ด้วยอายุของคุณ ลี  เพรียส ก็คือ Serach ด้วยอายุที่น้อยกว่า 31 ปีนะครับ ( Search ในที่นี้ หมายถึงการ Search หาข้อมูลการฝึก และการกิน ฯลฯ ของคุณ ลี  เพรียส ใน Youtube น่ะครับ )

       ยกตัวอย่างเช่น การดูวิธีฝึก วิธีทานอาหารของเขา ตอนที่เขาอายุ 21 ปีแบบที่เห็นในภาพข้างบนนี้ก็โอเคแล้วครับ เราก็จะได้มั่นใจว่าเขา "ไม่ใช้สเตียรอยด์" อย่างแน่นอน  เพราะมันเป็นช่วงที่เขาประกวดอยู่นั่นเองครับ  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า กล้ามเนื้อแบบที่เห็นในภาพข้างบนนี้ เป็นกล้ามเนื้อที่สร้างจากความอุตสาหะ และความมีวินัยล้วนๆ ไม่มีตัวช่วยเป็น สเตียรอยด์ แต่อย่างใดครับ


( เสริม ) เลือกไอดอลได้มากกว่า 1 คน

ข้างล่างนี้ )


       การเลือกไอดอล หรือนักเพาะกายที่เราชอบเป็นพิเศษ เพื่อเอามาเป็นต้นแบบนั้น สามารถเลือกได้มากกว่า 1 คนนะครับ ไม่มีข้อบังคับในเรื่องนี้

       ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นกล้ามต้นขา เราก็เลือกคุณ 
ทอม  แพล็ท ( Tom Platz ) เป็นไอดอล  /  เพื่อจะดูวิธีการฝึกกล้ามต้นขาของเขาว่า เอาท่าไหนไว้ก่อน ท่าไหนไว้หลัง บริการต้นขาอาทิตย์ละกี่วัน วันไหนบ้าง? 

       ถ้าเป็นกล้ามไทรเซบ ก็เลือกคุณ โรเอลลี่ วินคลา ( Roelly Winklaar ) เป็นต้น 

       อันนี้ ยกตัวอย่างให้ดูเฉยๆนะครับ ส่วนตัวเพื่อนสมาชิกเองนั้น มีความชื่นชอบคนอื่น จะเลือกคนอื่นเป็นไอดอล ก็แล้วแต่ความชอบส่วนตัวเลยครับ


       แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น คุณจะต้องเลือกไอดอล โดยให้อยู่บนพื้นฐานที่ว่า นักเพาะกายผู้ที่จะมาเป็นไอดอลนั้น จะต้อง ยังอยู่ในช่วงระหว่างการแข่งขันอยู่ และการแข่งขันนั้น ต้องเป็นการแข่งขันรายการใหญ่ๆด้วย คุณจะได้ปลอดภัยจากการ "เสียความรู้สึก" ที่มารู้ภายหลังว่า นักเพาะกายผุ้ที่เป็นไอดอลของคุณเขาใช้ สเตียรอยด์ นะครับ

       ยกตัวอย่างคุณ 
ทอม  แพล็ท ( Tom Platz ) ที่คุณจะยึดเป็นไอดอลเรื่องการฝึกต้นขานั้น คุณก็ต้องหาข้อมูลจากกูเกิ้ลเสียหน่อยว่า เขาเลิกประกวดไปเมื่อใด

       หาใน WiKipedia จะดีที่สุดครับ  /  โดยเริ่มต้นด้วยการ Search ที่กูเกิ้ลก่อน ด้วยคำว่า "Tom Platz bio"  /  พอได้ผลการ Search ออกมาแล้ว เราก็เลือกดูเฉพาะลิงก์ของ Wikipedia.com  ซึ่งก็คือการเลือกไปที่  https://en.wikipedia.org/wiki/Tom_Platz )

       ซึ่งเมื่อเราค้นหาแล้ว ก็พบว่าคุณ ทอม เขาเลิกประกวดในปี พ.ศ.2538  / ค.ศ.1995 

       ดังนั้น ถ้าจะศึกษาการเล่นกล้ามต้นขาของเขา ก็ต้องไป Search ที่ Youtube ว่า "Quad Tom Platz"  แล้วเลือกดูเฉพาะที่เป็นเทปเก่าๆ ที่อยู่ในช่วงก่อนปี พ.ศ.2538  / ค.ศ.1995 เอานะครับ

       ถ้าเขาไม่ได้บอก พ.ศ.ไว้ใน Youtube เราก็ดูเอาว่า อันที่เป็นวีดีโอเก่าๆ หรือวีดีโอสมัยคุณทอม แกยังหนุ่มอยู่  ยังใส่กางเกงจีสตริง ขึ้นประกวดอยู่บนเวที  /  หาวิธีเอาครับ ไม่ยากเกินความสามารถของคุณแน่


"อย่า" เลือกไอดอลแบบนี้!

ข้างล่างนี้ )


pinterest.com 

        ( ภาพบน ) ในโลกทุกวันนี้ คุณจะเจอนายแบบตามนิตยสาร ตามสื่อโซเชียลต่างๆ เช่น Youtube ฯลฯ ออกมาแนะนำการฝึก การทาน การปฏิบัติตัวอยู่มากหน้าหลายตา

       ซึ่งเมื่อคุณได้เห็นเขา ภาพหรือวีดีโอของเขา ปรากฏว่าเขามีกล้ามชัด คมกริบ มีกล้ามท้องสมมาตรกันทั้งซ้ายขวา ( เหมือนที่เห็นในภาพข้างบนนี้ ) มันก็ช่างน่าเลื่อมใส น่าเชื่อถือเหลือเกินว่า ถ้าเราฝึก เราทาน เราปฏิบัติตัวตามที่เขาแนะนำแล้ว เราจะได้กล้ามเนื้อเหมือนกับเขา

       อันนี้ ผมพูดให้ฉุกคิดสักนิดนึงนะครับว่า ที่น่าสงสัยก็คือ นักเพาะกายนายแบบพวกนี้ "ไม่ยอมขึ้นประกวดเพาะกาย" เลย  เพราะอะไรหรือครับ? มาดูคำตอบกัน  

* * * ที่เขาไม่กล้าขึ้นประกวดเพาะกาย ไม่ใช่เพราะกลัวแพ้หรอกนะครับ แต่เป็นเพราะกลัวการตรวจเจอสาร สเตียรอยด์ ต่างหาก 


* * * ที่ไม่กล้าตรวจหาสาร สเตียรอยด์ ในร่างกาย ก็เพราะนักเพาะกายนายแบบพวกนี้ใช้สาร สเตียรอยด์ คือหมายความว่า การที่กล้ามสวยขนาดนี้ ไม่ได้มาจากผลของการฝึก การทาน แต่อย่างใด แต่มาจากผลของการใช้ สเตียรอยด์ ( แล้วยังมีหน้ามาแนะนำคนอื่นเรื่องวิธีฝึก วิธีทาน ให้คนอื่นอีก เวรกรรม ) )


* * * จากการที่เขาใช้สาร สเตียรอยด์ ถ้าเขาขึ้นประกวด เขาก็ต้องถูกตรวจพบสาร สเตียรอยด์ อยู่แล้ว ( เหมือนที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ในกรณีของ เจย์  คัทเลอร์ และ ชอว์น  เรย์ )


* * * และเมื่อถูกพบสาร สเตียรอยด์ แล้วเวทีแข่งขันนั้นประกาศออกมา เขาก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก จนเป็นเหตุให้ไม่มีใครจ้างเขาไปถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาอีก


* * * ดังนั้น วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ การ "เลี่ยงการประกวดเพาะกาย" นั่นเองครับ ( เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกตรวจพบสาร สเตียรอยด์ )


* * * สมมติว่า นักเพาะกายนายแบบพวกนี้ ไม่ได้ใช้สาร สเตียรอยด์ แล้วกล้ามสวย คมกริบขนาดนี้ ทำไมเขาไม่ขึ้นประกวดล่ะครับ 

       การขึ้นประกวดมันทำให้เขามีดีกรีประดับบารมีให้ตัวเองเสียด้วย  ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องขึ้นประกวดสิครับ  และกล้ามเนื้อขนาดนี้ ถ้าไม่ชนะ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว กล้ามสวย และชัดเสียเหลือเกิน


       สรุปตรงนี้เลยว่า "อย่า" ไปเอานายแบบตามนิตยสาร หรือ Youtube ที่ไม่ได้ประกวดเพาะกายมาเป็นไอดอลเด็ดขาดนะครับ  ถึงแม้เราจะพิสูจน์ไม่ได้ว่าเขาใช้ หรือไม่ใช้ สเตียรอยด์ แต่มันก็มีความเสี่ยงว่าเขาจะใช้ สเตียรอยด์ ใช่ไหมล่ะครับ 

       เมื่อมีความเสี่ยงว่า เขาอาจจะใช้สาร สเตียรอยด์ แล้วเราจะไปเสี่ยงเอาพวกเขามาเป็นไอดอล มาฟังวิธีฝึก วิธีทาน จากพวกนี้ให้เสียเวลาทำไมล่ะครับ เรามีทางเลือกนี่นา  /  ก็ไปหาไอดอลคนอื่นที่ไม่มีคววามเสี่ยงเรื่อ่งการใช้สาร สเตียรอยด์ ไม่ดีกว่าหรือ  จริงไหมครับ?




คำถามเกี่ยวกับตารางฝึก

ถาม : ผมสงสัยน่ะครับว่าทำไมในวันศุกร์ของ อาทิตย์ที่ 9 ในท่าบริหารบ่า  Press Behind the Neck  ในตารางฝึกนั้น จึงใช้น้ำหนักเริ่มต้นที่น้อยกว่า อาทิตย์ที่ 8 ในวันอังคารที่บริหารท่าเดียวกัน

       คือ อาทิตย์ที่ 8 เริ่มจาก แผ่น 2.5 kg ส่วน อาทิตย์ที่ 9 เริ่มจากใช้คานเปล่า

       ผมสังเกตเห็นแบบนี้เลยรู้สึกสับสนกับความเข้าใจตอนแรก เพราะผมเคยคิดว่าเราน่าจะใช้น้ำหนักในการบริหารที่มากขึ้นในทุกๆอาทิตย์น่ะครับ หรือผมเข้าใจผิดไป ช่วยอธิบายทีครับ


ตอบ : ก็หลักง่ายๆครับ ถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า อาทิตย์ที่ 9  เราเล่นบ่า "สองครั้ง" คือวันจันทร์กับวันศุกร์  /  แต่ อาทิตย์ที่ 8 เล่นบ่า "วันเดียว"

       ดังนั้น เมื่อคำนวณเรื่องความล้าแล้ว ในวัน ศุกร์ที่ 9 นั้น กล้ามบ่า "ล้า" มาจากวัน จันทร์ที่ 9 แล้ว ดังนั้น ก็อย่าไปกระแทกมันแรง คือให้วอร์มด้วยคานเปล่าก่อนน่ะถูกแล้วครับ ( คำว่า กระแทกแรง ในที่นี้ หมายความว่า มาถึงก็เล่นบ่าหนักๆเลย ผมก็เลยใช้คำว่า "อย่า" กระแทกมันแรง คือ เมื่อถึงเวลาเล่นบ่าในวัน ศุกร์ที่ 9  นี้ ก็ให้เริ่มจากการวอร์มด้วยน้ำหนักเบาสุดก่อน ก็คือใช้คานเปล่านั่นเองครับ )



บริหารเพื่อความแกร่ง


        โดยเควิน เลอฟโรน 1994 and 1996 Arnold Schwarzenegger Classic Winner ( Webmaster - เควินเกิดวันที่ 16 กรกฎาคม 2509 ในภาพนี้ เขาอายุ 41 ปี แล้ว แต่ดูความชัดและขนาดของกล้ามเนื้อสิครับ )

       "ขนาดของร่างกายเป็นผลพลอยได้จากความแข็งแกร่งต่างหาก"  ย้อนกลับไปตอนที่ผมเริ่มเล่นกล้ามนั้น ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าผมจะยกท่า Bench Press  หรือท่า Squat หรือท่า Heavy Deadlift  ให้ได้หนักสุดกี่กิโลกรัม?

       ผมไม่ได้คิดเรื่องการสลักเสลากล้ามเนื้อว่าต้องให้ส่วนใดสวยอย่างไร ผมต้องการความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที กล้ามเนื้อมันก็ขึ้นทั่วร่างกายผมอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเลย และที่ผมจะแนะนำคุณต่อไปนี้ คือหลักการที่ผมใช้ 

 * * * เน้นที่การใช้ดัมเบลล์และบาร์เบลล์เท่านั้น ( Free weight ) และในการบริหารแต่ละครั้ง ต้องยกน้ำหนักให้มากกว่าที่เคยยกมาก่อนหน้านี้


* * * เน้นท่าพื้นฐาน อันได้แก่  Bench Press , Squat , Heavy Deadlift , Barbell Row , Military Press , Standing EZ - Bar Curl , Close Grip Bench Press  


 * * * น้ำหนักแต่ละครั้งที่ใช้ ต้องทำให้คุณตะโกนร้องสุดเสียง ,เหงื่อท่วมตัว ,ลมออกหู ( Webmaster - คำว่าลมออกหูนี้ ต้นฉบับใช้คำว่า grunt แปลตรงตัวคือทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูก แต่เอามาเรียงต่อจากคำว่า scream ,sweat แล้ว จึงสื่อว่า ลมออกหูจะเห็นภาพกว่า แต่ไม่ได้ให้เล่นจนลมออกหูจริงๆนะครับ มันเป็นแค่สำนวนการพูดเฉยๆ ) นั่นหมายถึงคุณได้ใช้พละกำลังถึงขีดสูงสุดแล้ว 


* * * แต่ละเซทอย่าเล่นเกิน 8 Reps เด็ดขาด  /  และเมื่อบริหารจนครบ 8 Reps แล้ว คุณจะต้องใช้แรงหมดตัวพอดี  /  และถ้าต้องใช้น้ำหนักที่หนักมากๆจริงๆ ในเซทนั้นทำเต็มที่ 3 ถึง 4 Reps ก็พอ 


* * * ไม่ต้องนับจำนวนเซท เลย  /  เล่นไปเรื่อยๆ ,เพิ่มน้ำหนักไปเรื่อยๆ เมื่อเล่นไปจนทำต่อไปไม่ไหวแล้ว คุณก็จะรู้เองว่าควรจะหยุดตอนไหน และจะแปลกใจกับความแข็งแกร่งที่คุณได้รับ 


* * * คนทั่วไปมักหลีกเลี่ยงการเล่นจนถึงจุดที่เจ็บปวดที่สุด แต่ถ้าคุณต้องการความแข็งแกร่ง คุณจะต้องเล่นจนข้ามจุดเจ็บปวดนั้นไป ( Webmaster - ต้นฉบับใช้คำว่า train until stops hurting คือ หมายถึงว่าเจ็บจนไม่รู้จะเจ็บอย่างไรแล้ว , เจ็บแบบต้องรับสภาพ 


* * * คุณต้องทำในสิ่งที่เรียกว่า"มากเกินไป" เสมอ สำหรับเรื่องอาหารการกิน และเรื่องเพิ่มจำนวนน้ำหนักที่ใช้


       ผมรับแคลลอรี่วันละ 6,500 แคลอรี่ต่อวัน และเกือบทั้งหมดมาจากโปรตีนทั้งสิ้น ( Webmaster - คนทั่วไปจะแคลอรี่แค่วันละ 1,735 แคลอรี่ 

- END -